คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. .... และร่างประกาศ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ทั้ง 13 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย
ฉบับที่ 1 เรื่อง แนวทางในการตรวจสอบผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ฉบับที่ 2 เรื่อง มาตรฐานพัสดุที่จัดหา
ฉบับที่ 3 เรื่อง แนวทางในการคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นในการซื้อหรือการจ้าง
ฉบับที่ 4 เรื่อง วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้าง
ฉบับที่ 5 เรื่อง วิธีดำเนินการจ้างที่ปรึกษา
ฉบับที่ 6 เรื่อง วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้างหรือการจ้างที่ปรึกษาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ฉบับที่ 7 เรื่อง อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง และการสั่งจ้างที่ปรึกษา
ฉบับที่ 8 เรื่อง หลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนพัสดุ
ฉบับที่ 9 เรื่อง หลักเกณฑ์การเช่าสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์
ฉบับที่ 10 เรื่อง แนวทางการบริหารสัญญา
ฉบับที่ 11 เรื่อง การตรวจและรับมอบงาน
ฉบับที่ 12 เรื่อง การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ฉบับที่ 13 เรื่อง การควบคุมและการจำหน่ายพัสดุ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยด่วน โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6.2 (ฝ่ายกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ดำเนินการต่อไปได้
กระทรวงการคลังชี้แจงว่า ได้มีการโอนงานการกำกับดูแลการบริหารพัสดุภาครัฐจากสำนักนายกรัฐมนตรีมาอยู่ที่กระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการกำกับการบริหารงบประมาณอย่างครบวงจร และมาตรา 23 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการ บ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 กำหนดให้ส่วนราชการดำเนินการจัดหาพัสดุ โดยพิจารณาถึงประโยชน์และผลเสียทางสังคมภาระต่อประชาชน คุณภาพ วัตถุประสงค์ที่จะใช้ ราคา และประโยชน์ระยะยาวที่จะได้รับ และในกรณีที่วัตถุประสงค์ในการใช้เป็นเหตุให้ต้องคำนึงถึงคุณภาพและการดูแลรักษาเป็นสำคัญ ให้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องถือราคาต่ำสุดในการเสนอซื้อหรือจ้างเสมอไป พร้อมทั้งให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ดูแลระเบียบเกี่ยวกับการพัสดุปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เพื่อให้ระเบียบที่เกี่ยวกับการพัสดุของส่วนราชการสอดคล้องกับหลักการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ตามการปฏิรูประบบราชการและเป็นไปตามหลักกการแห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงได้ยกร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. .... ขึ้นใหม่ ซึ่งปรับปรุงจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งสาระสำคัญของร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ จำนวน 13 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกันและคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) จะต้องดำเนินการต่อไป ภายหลังจากร่างระเบียบฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ซึ่ง กวพ. มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ร่างระเบียบฯ ดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการพัสดุที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามระเบียบ และกำหนดหลักการสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดหลักการในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุไว้ในร่างระเบียบนี้ สำหรับรายละเอียดของหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติจะนำไปกำหนดไว้ในร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อให้ร่างระเบียบฯ ฉบับใหม่สั้น กระชับ และชัดเจน ส่วนร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ จะมีความสะดวกและคล่องตัวต่อการปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2. กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการจัดหาพัสดุด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ในแต่ละวิธีจะนำไปกำหนดในร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการปรับปรุงแก้ไข
3. กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการจัดหาพัสดุ โดยให้ส่วนราชการต้องดำเนินการจัดหาพัสดุโดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงิน (Value for Money) จัดหาพัสดุโดยเปิดเผยโปร่งใสทุกขึ้นตอน (Transparency) มีความเตรียมพร้อมที่จะจัดหาพัสดุอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and Effectiveness) และให้ส่วนราชการต้องมีความพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อผลสำเร็จของงานในการดำเนินการจัดหาพัสดุในหน่วยงาน (Accountability)
4. กำหนดเพิ่มเติมเรื่อง การป้องกันการสมยอมการเสนอราคาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เข้าไว้ในกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่กำหนดไว้ในระเบียบเดิม เพื่อลดโอกาสในการสมยอมการเสนอราคาของผู้เข้าเสนองานไปในคราวเดียวกัน และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น
5. กำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนการจัดหาพัสดุประจำปีงบประมาณไว้เป็นการล่วงหน้าให้สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ ที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2546 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2547 เพื่อให้ส่วนราชการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันทีตั้งแต่เริ่มต้นปีงบประมาณ อันจะทำให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
6. กำหนดให้ส่วนราชการจัดทำบันทึกรายงานกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่เริ่มต้นขออนุมัติหัวหน้าส่วนราชการเพื่อดำเนินการในการจัดหาพัสดุจนถึงการตรวจรับมอบงานเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
7. กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการมีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารสัญญาเพื่อให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่ทำสัญญากับส่วนราชการดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในสัญญา และหากการจัดซื้อจัดจ้างมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไปให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสัญญาเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลงานดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการเกิดความคุ้มค่า มีการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหากมีเหตุการณ์ที่ทำให้การดำเนินงานตามสัญญาไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมาย จะได้มีการรับทราบปัญหาล่วงหน้าและหาแนวทางแก้ไขได้ทันกับเหตุการณ์
8. กำหนดจรรยาบรรณให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างพึงยึดถือและประพฤติปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน อันจะก่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างด้วย ทั้งนี้ ร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ จำนวน 13 ฉบับ ที่ กวพ. จะต้องดำเนินการต่อไป ภายหลังจากร่างระเบียบฯ ใช้บังคับแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวทางในการตรวจสอบผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน มาตรฐานพัสดุที่จัดหาแนวทางในการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นในการซื้อหรือการจ้าง วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้างวิธีดำเนินการจ้างที่ปรึกษา วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้างหรือการจ้างที่ปรึกษาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง และการสั่งจ้างที่ปรึกษา หลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนพัสดุ หลักเกณฑ์การเช่าสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ แนวทางการบริหารสัญญา การตรวจและรับมอบงาน การลงโทษผู้ทิ้งงาน การควบคุม และการจำหน่ายพัสดุ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 30 สิงหาคม 2548--จบ--
ฉบับที่ 1 เรื่อง แนวทางในการตรวจสอบผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ฉบับที่ 2 เรื่อง มาตรฐานพัสดุที่จัดหา
ฉบับที่ 3 เรื่อง แนวทางในการคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นในการซื้อหรือการจ้าง
ฉบับที่ 4 เรื่อง วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้าง
ฉบับที่ 5 เรื่อง วิธีดำเนินการจ้างที่ปรึกษา
ฉบับที่ 6 เรื่อง วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้างหรือการจ้างที่ปรึกษาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ฉบับที่ 7 เรื่อง อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง และการสั่งจ้างที่ปรึกษา
ฉบับที่ 8 เรื่อง หลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนพัสดุ
ฉบับที่ 9 เรื่อง หลักเกณฑ์การเช่าสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์
ฉบับที่ 10 เรื่อง แนวทางการบริหารสัญญา
ฉบับที่ 11 เรื่อง การตรวจและรับมอบงาน
ฉบับที่ 12 เรื่อง การลงโทษผู้ทิ้งงาน
ฉบับที่ 13 เรื่อง การควบคุมและการจำหน่ายพัสดุ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยด่วน โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6.2 (ฝ่ายกฎหมาย) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ดำเนินการต่อไปได้
กระทรวงการคลังชี้แจงว่า ได้มีการโอนงานการกำกับดูแลการบริหารพัสดุภาครัฐจากสำนักนายกรัฐมนตรีมาอยู่ที่กระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการกำกับการบริหารงบประมาณอย่างครบวงจร และมาตรา 23 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการ บ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 กำหนดให้ส่วนราชการดำเนินการจัดหาพัสดุ โดยพิจารณาถึงประโยชน์และผลเสียทางสังคมภาระต่อประชาชน คุณภาพ วัตถุประสงค์ที่จะใช้ ราคา และประโยชน์ระยะยาวที่จะได้รับ และในกรณีที่วัตถุประสงค์ในการใช้เป็นเหตุให้ต้องคำนึงถึงคุณภาพและการดูแลรักษาเป็นสำคัญ ให้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องถือราคาต่ำสุดในการเสนอซื้อหรือจ้างเสมอไป พร้อมทั้งให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ดูแลระเบียบเกี่ยวกับการพัสดุปรับปรุงระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เพื่อให้ระเบียบที่เกี่ยวกับการพัสดุของส่วนราชการสอดคล้องกับหลักการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ตามการปฏิรูประบบราชการและเป็นไปตามหลักกการแห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงได้ยกร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. .... ขึ้นใหม่ ซึ่งปรับปรุงจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งสาระสำคัญของร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ จำนวน 13 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกันและคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) จะต้องดำเนินการต่อไป ภายหลังจากร่างระเบียบฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ซึ่ง กวพ. มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ร่างระเบียบฯ ดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการพัสดุที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และให้ปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาการตามระเบียบ และกำหนดหลักการสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดหลักการในการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุไว้ในร่างระเบียบนี้ สำหรับรายละเอียดของหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติจะนำไปกำหนดไว้ในร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อให้ร่างระเบียบฯ ฉบับใหม่สั้น กระชับ และชัดเจน ส่วนร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ จะมีความสะดวกและคล่องตัวต่อการปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
2. กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการจัดหาพัสดุด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ในแต่ละวิธีจะนำไปกำหนดในร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการปรับปรุงแก้ไข
3. กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการจัดหาพัสดุ โดยให้ส่วนราชการต้องดำเนินการจัดหาพัสดุโดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงิน (Value for Money) จัดหาพัสดุโดยเปิดเผยโปร่งใสทุกขึ้นตอน (Transparency) มีความเตรียมพร้อมที่จะจัดหาพัสดุอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and Effectiveness) และให้ส่วนราชการต้องมีความพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อผลสำเร็จของงานในการดำเนินการจัดหาพัสดุในหน่วยงาน (Accountability)
4. กำหนดเพิ่มเติมเรื่อง การป้องกันการสมยอมการเสนอราคาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เข้าไว้ในกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคาที่กำหนดไว้ในระเบียบเดิม เพื่อลดโอกาสในการสมยอมการเสนอราคาของผู้เข้าเสนองานไปในคราวเดียวกัน และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น
5. กำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนการจัดหาพัสดุประจำปีงบประมาณไว้เป็นการล่วงหน้าให้สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ ที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2546 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2547 เพื่อให้ส่วนราชการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันทีตั้งแต่เริ่มต้นปีงบประมาณ อันจะทำให้การเบิกจ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
6. กำหนดให้ส่วนราชการจัดทำบันทึกรายงานกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่เริ่มต้นขออนุมัติหัวหน้าส่วนราชการเพื่อดำเนินการในการจัดหาพัสดุจนถึงการตรวจรับมอบงานเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
7. กำหนดให้หัวหน้าส่วนราชการมีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารสัญญาเพื่อให้ผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่ทำสัญญากับส่วนราชการดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในสัญญา และหากการจัดซื้อจัดจ้างมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาทขึ้นไปให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสัญญาเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลงานดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการเกิดความคุ้มค่า มีการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด และหากมีเหตุการณ์ที่ทำให้การดำเนินงานตามสัญญาไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมาย จะได้มีการรับทราบปัญหาล่วงหน้าและหาแนวทางแก้ไขได้ทันกับเหตุการณ์
8. กำหนดจรรยาบรรณให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างพึงยึดถือและประพฤติปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน อันจะก่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างด้วย ทั้งนี้ ร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ จำนวน 13 ฉบับ ที่ กวพ. จะต้องดำเนินการต่อไป ภายหลังจากร่างระเบียบฯ ใช้บังคับแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวทางในการตรวจสอบผู้เสนอราคาหรือผู้เสนองานที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน มาตรฐานพัสดุที่จัดหาแนวทางในการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นในการซื้อหรือการจ้าง วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้างวิธีดำเนินการจ้างที่ปรึกษา วิธีดำเนินการซื้อหรือจ้างหรือการจ้างที่ปรึกษาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ อำนาจในการสั่งซื้อหรือสั่งจ้าง และการสั่งจ้างที่ปรึกษา หลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนพัสดุ หลักเกณฑ์การเช่าสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ แนวทางการบริหารสัญญา การตรวจและรับมอบงาน การลงโทษผู้ทิ้งงาน การควบคุม และการจำหน่ายพัสดุ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 30 สิงหาคม 2548--จบ--