คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสถานการณ์ภัยแล้งและการให้ความ
ช่วยเหลือ ดังนี้
1. สถานการณ์ทั่วไป ตามที่ได้เกิดความแห้งแล้งเป็นบริเวณกว้างและต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจากรายงานกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ความแห้งแล้ง รวมทั้งสิ้น 55 จังหวัด สำหรับพื้นที่การเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานความเสียหาย ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2548 จำนวน53 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 15 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 16 จังหวัด และภาคใต้ 3 จังหวัด รวมจำนวนพื้นที่คาดว่าจะเสียหายด้านพืชประมาณ 19.21 ล้านไร่ เสียหายสิ้นเชิงแล้วประมาณ 12.5 ล้านไร่ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 14,725 ล้านบาท ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับความเสียหายด้านพืชมากที่สุด คือ 8.5 ล้านไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 7.39 ล้านไร่ สำหรับด้านประมงและปศุสัตว์ เกษตรกรได้ดำเนินการตามคำเตือนของกรมประมงและกรมปศุสัตว์ความเสียหายจึงไม่รุนแรงและได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการในระดับหนึ่งแล้ว เช่น จังหวัดสุโขทัย และกาญจนบุรี กรมปศุสัตว์ได้ให้ความช่วยเหลือ โดยดูแลสุขภาพสัตว์และแจกจ่ายพืชอาหารสัตว์แล้ว
2. สถานการณ์น้ำปัจจุบัน อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีปริมาตรน้ำใช้การได้ร้อยละ 47 ของความจุอ่างที่ใช้การได้ (20,870 ล้าน ลบ.ม.) อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตรใช้การได้ร้อยละ 35 และ 63 ตามลำดับ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกัน 7,571 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั่วประเทศ (51 แห่ง) มีปริมาตรน้ำใช้การได้ร้อยละ 56 ของความจุอ่างเก็บน้ำทั้งหมด (1,568 ล้าน ลบ.ม.)
อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรน้ำน้อย ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ลำพระเพลิง ทับเสลา กระเสียว แก่งประจาน และปราณบุรี อยู่ในเกณฑ์ร้อยละ 10,9,8,0,37 และ 19 ของความจุใช้การได้ตามลำดับสำหรับอ่างเก็บน้ำเขื่อน กระเสียวมีระดับน้ำในอ่างต่ำกว่าธรณีท่อส่งน้ำ ต้องใช้กาลักน้ำเพื่อส่งน้ำช่วยเหลือการประปาและอุปโภคต่อไป
สภาพน้ำในแม่น้ำสายต่าง ๆ ทั่วประเทศ อยู่ในเกณฑ์น้อยและมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรงดการทำนาปรังครั้งที่ 2 และให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยรวมถึงการปรับปรุงบำรุงดินด้วย
สภาพความเค็มของน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนแม่น้ำบางปะกงและแม่น้ำท่าจีนค่าความเค็มยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ กรมชลประทานได้ขอความร่วมมือจากประชาชนไม่ควรระบายน้ำเสียลงในแม่น้ำเนื่องจากจะทำให้คุณภาพน้ำลดต่ำลงอีก
3. การให้ความช่วยเหลือ
1) กรมชลประทาน สนับสนุนเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือการเพาะปลูกข้าวนาปรัง พืชไร่ และการอุปโภค-บริโภคทั้งในและนอกเขตชลประทานแล้วรวม 760 เครื่อง แบ่งเป็นภาคเหนือ 216 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 305 เครื่อง ภาคกลาง 110 เครื่อง ภาคตะวันออก 72 เครื่อง ภาคตะวันตก 40 เครื่อง และภาคใต้ 17 เครื่อง
2) กรมส่งเสริมการเกษตร รายงานการใช้เงินทดรองราชการของจังหวัด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยฝนทิ้งช่วงวงเงิน 622.19 ล้านบาท ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร 2,496,394 ไร่ เกษตรกร 257,696 ราย รวม 27 จังหวัด
3) สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง 7 ศูนย์ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ นครสวรรค์ ขอนแก่น นครราชสีมา ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ และสงขลา และติดตามสภาวะอากาศเพื่อปฏิบัติการทันทีที่สภาพอากาศอำนวย
ในการนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแผนรับสถานการณ์ในช่วงฤดูแล้งปี 2548 ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นแนวทางในการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้สอดคล้อง ประสานและเป็นเอกภาพ
อนึ่ง เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง หน่วยงานต่าง ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำโครงการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในระยะเร่งด่วนเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย ดังนี้
1. โครงการพัฒนาโครงข่ายน้ำและการเกษตรแบบบูรณาการ (น้ำแก้จน) โดยจัดทำระบบชลประทานและบูรณาการเกษตรควบคู่กัน
2. โครงการแหล่งน้ำในไร่นาโดยขุดสระน้ำขนาด 1,260 ลบ.ม. จำนวน 300,000 บ่อ โดยรัฐสนับสนุนงบในการขุดสระและเกษตรกรสมทบค่าขุดสระบางส่วน
3.โครงการพัฒนาดิน โดยส่งเสริมการอนุรักษ์ดินและน้ำและปรับปรุงฟื้นฟูดินเสื่อมโทรม รวม 97.15 ล้านไร่ โดยจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ และปลูกหญ้าแฝก
4. โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก
5. โครงการระบบส่งน้ำในไร่นา
6. โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อพัฒนาแหล่งผลิตชุมชน
7. โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในไร่นอกเขตชลประทาน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548--จบ--
ช่วยเหลือ ดังนี้
1. สถานการณ์ทั่วไป ตามที่ได้เกิดความแห้งแล้งเป็นบริเวณกว้างและต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจากรายงานกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พื้นที่ที่เกิดสถานการณ์ความแห้งแล้ง รวมทั้งสิ้น 55 จังหวัด สำหรับพื้นที่การเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานความเสียหาย ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2548 จำนวน53 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 15 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 16 จังหวัด และภาคใต้ 3 จังหวัด รวมจำนวนพื้นที่คาดว่าจะเสียหายด้านพืชประมาณ 19.21 ล้านไร่ เสียหายสิ้นเชิงแล้วประมาณ 12.5 ล้านไร่ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 14,725 ล้านบาท ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับความเสียหายด้านพืชมากที่สุด คือ 8.5 ล้านไร่ โดยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 7.39 ล้านไร่ สำหรับด้านประมงและปศุสัตว์ เกษตรกรได้ดำเนินการตามคำเตือนของกรมประมงและกรมปศุสัตว์ความเสียหายจึงไม่รุนแรงและได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการในระดับหนึ่งแล้ว เช่น จังหวัดสุโขทัย และกาญจนบุรี กรมปศุสัตว์ได้ให้ความช่วยเหลือ โดยดูแลสุขภาพสัตว์และแจกจ่ายพืชอาหารสัตว์แล้ว
2. สถานการณ์น้ำปัจจุบัน อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีปริมาตรน้ำใช้การได้ร้อยละ 47 ของความจุอ่างที่ใช้การได้ (20,870 ล้าน ลบ.ม.) อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาตรใช้การได้ร้อยละ 35 และ 63 ตามลำดับ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกัน 7,571 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำขนาดกลางทั่วประเทศ (51 แห่ง) มีปริมาตรน้ำใช้การได้ร้อยละ 56 ของความจุอ่างเก็บน้ำทั้งหมด (1,568 ล้าน ลบ.ม.)
อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรน้ำน้อย ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ลำพระเพลิง ทับเสลา กระเสียว แก่งประจาน และปราณบุรี อยู่ในเกณฑ์ร้อยละ 10,9,8,0,37 และ 19 ของความจุใช้การได้ตามลำดับสำหรับอ่างเก็บน้ำเขื่อน กระเสียวมีระดับน้ำในอ่างต่ำกว่าธรณีท่อส่งน้ำ ต้องใช้กาลักน้ำเพื่อส่งน้ำช่วยเหลือการประปาและอุปโภคต่อไป
สภาพน้ำในแม่น้ำสายต่าง ๆ ทั่วประเทศ อยู่ในเกณฑ์น้อยและมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรงดการทำนาปรังครั้งที่ 2 และให้ปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยรวมถึงการปรับปรุงบำรุงดินด้วย
สภาพความเค็มของน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนแม่น้ำบางปะกงและแม่น้ำท่าจีนค่าความเค็มยังคงสูงขึ้นเรื่อย ๆ กรมชลประทานได้ขอความร่วมมือจากประชาชนไม่ควรระบายน้ำเสียลงในแม่น้ำเนื่องจากจะทำให้คุณภาพน้ำลดต่ำลงอีก
3. การให้ความช่วยเหลือ
1) กรมชลประทาน สนับสนุนเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือการเพาะปลูกข้าวนาปรัง พืชไร่ และการอุปโภค-บริโภคทั้งในและนอกเขตชลประทานแล้วรวม 760 เครื่อง แบ่งเป็นภาคเหนือ 216 เครื่อง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 305 เครื่อง ภาคกลาง 110 เครื่อง ภาคตะวันออก 72 เครื่อง ภาคตะวันตก 40 เครื่อง และภาคใต้ 17 เครื่อง
2) กรมส่งเสริมการเกษตร รายงานการใช้เงินทดรองราชการของจังหวัด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยฝนทิ้งช่วงวงเงิน 622.19 ล้านบาท ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร 2,496,394 ไร่ เกษตรกร 257,696 ราย รวม 27 จังหวัด
3) สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง 7 ศูนย์ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ นครสวรรค์ ขอนแก่น นครราชสีมา ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ และสงขลา และติดตามสภาวะอากาศเพื่อปฏิบัติการทันทีที่สภาพอากาศอำนวย
ในการนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแผนรับสถานการณ์ในช่วงฤดูแล้งปี 2548 ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นแนวทางในการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ให้สอดคล้อง ประสานและเป็นเอกภาพ
อนึ่ง เพื่อเป็นการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง หน่วยงานต่าง ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำโครงการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในระยะเร่งด่วนเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย ดังนี้
1. โครงการพัฒนาโครงข่ายน้ำและการเกษตรแบบบูรณาการ (น้ำแก้จน) โดยจัดทำระบบชลประทานและบูรณาการเกษตรควบคู่กัน
2. โครงการแหล่งน้ำในไร่นาโดยขุดสระน้ำขนาด 1,260 ลบ.ม. จำนวน 300,000 บ่อ โดยรัฐสนับสนุนงบในการขุดสระและเกษตรกรสมทบค่าขุดสระบางส่วน
3.โครงการพัฒนาดิน โดยส่งเสริมการอนุรักษ์ดินและน้ำและปรับปรุงฟื้นฟูดินเสื่อมโทรม รวม 97.15 ล้านไร่ โดยจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ และปลูกหญ้าแฝก
4. โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก
5. โครงการระบบส่งน้ำในไร่นา
6. โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อพัฒนาแหล่งผลิตชุมชน
7. โครงการพัฒนาแหล่งน้ำในไร่นอกเขตชลประทาน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548--จบ--