คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนตามนโยบายขจัดความยากจนของกระทรวงยุติธรรม(สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) ตามที่ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันปรากฏว่า แนวโน้มการก่อหนี้ภาคประชาชนยังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการประกอบธุรกิจที่เข้าลักษณะการให้กู้ยืมเงินนอกระบบ เพราะสาเหตุมาจากลูกหนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรือไม่มีรายได้ประจำ ตามเงื่อนไขของธนาคาร จึงทำให้ประชาชนไม่สามารถกู้เงินในระบบปกติได้ จึงมีการทำธุรกิจการให้กู้ยืมเงินโดยใช้การซื้อขายสินค้าอำพรางซึ่งธุรกิจเช่นนี้ มีลักษณะฉ้อโกงประชาชน ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินจากบัตรเครดิตในรูปแบบต่าง ๆ โดยเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเรียกเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เป็นเหตุให้ลูกหนี้ส่วนใหญ่ คือ ผู้มีรายได้น้อยที่ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง พนักงานบริษัท พนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการส่วนใหญ่ ได้รับความเดือดร้อนมากจากการถูกเจ้าหนี้ติดตามหวงหนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย เข้ายึดทรัพย์สินโดยการทำผิดกฎหมายและไม่แจ้งล่วงหน้า ฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งเรียกเงินกู้คืน โดยอาศัยช่องว่างและความชำนาญด้านกฎหมาย แม้ว่ารัฐบาลได้แก้ไขพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับนิติบุคคลว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และการล้มละลายของบุคคลซึ่งยังต้องรอให้เจ้าหนี้ฟ้องล้มละลายเท่านั้น ไม่เปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถฟื้นฟูสภาพหนี้ของตนเองได้แต่ประการใด ดังนั้น เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนและการปราบปรามผู้มีอิทธิพลนายทุนเงินกู้นอกระบบบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนที่เกิดจากการอาศัยช่องว่างของกฎหมายและความเดือดร้อนจำเป็นของประชาชนที่ไม่มีทางเลือก เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการถูกเอารัดเอาเปรียบให้สามารถฟื้นฟูตนเองให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยปกติสุข ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับกฎหมายล้มละลายส่วนบุคคล อาทิ สหรัฐ-อเมริกา ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งมีระบบกฎหมายว่าด้วยการล้มละลายส่วนบุคคล โดยให้ความคุ้มครองประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ ช่วยให้สามารถฟื้นฟูฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินของตนเองเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ กระทรวงยุติธรรมพิจารณาแล้ว เห็นว่า ควรกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนเรียกว่า “การยื่นล้มละลายส่วนบุคคล” (Personal Bankruptcy Discharge) เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจนสัมฤทธิ์ผลภายในระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 — 2550
วัตถุประสงค์
1. เพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนให้กับคนยากจนทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเจ้าหนี้ให้ช่องว่างทางกฎหมายเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในระบบและ/หรือหนี้นอกระบบ
2. เพื่อปราบปรามเจ้าหนี้ผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษตามกฎหมายและป้องปรามไม่ให้มีการกระทำที่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเอาเปรียบลูกหนี้ หรือกระทำการข่มขู่ หรือยึดทรัพย์ลูกหนี้ด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย
3. เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนให้สามารถขอฟื้นฟูหนี้ทั้งหมดของตนเองให้หมดไปและให้ลูกหนี้สามารถกลับมาดำรงชีพอยู่ได้โดยปรกติ สร้างความเป็นธรรมในสังคม
4. เพื่อดำเนินการแก้ไขกฎหมาย หรือยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ด้วยการเพิ่มมาตรการลงโทษเจ้าหนี้ที่กระทำความผิด
5. เพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบการเงินภาคประชาชน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่อาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
เป้าหมาย
1. การประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันมิให้ตกเป็นเหยื่อนายทุนเงินกู้นอกระบบการถูกเอารัดเอาเปรียบ
2. ลดการเอาเปรียบลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ปล่อยโดยภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Banking Business) รวมถึงหนี้สินจากบัตรเครดิต ด้วยมาตรการเจรจาตกลงระหว่างเจ้าหนี้ ลูกหนี้ โดยให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบและเป็นธรรม
3. ดำเนินคดีทางกฎหมายทั้งคดีอาญา มาตรการยึดทรัพย์สินและมาตรการทางภาษีกับนายทุนปล่อยเงินกู้ที่เข้าข่ายผู้มีอิทธิพลและฉ้อโกงประชาชนทุกราย
4. แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกหนี้ได้รับความเป็นธรรม และสามารถต่อสู้ทางกฎหมายกับเจ้าหนี้ และปิดช่องว่างของกฎหมายเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้อาศัยช่องว่างของกฎหมายเอารัดเอาเปรียบลูกหนี้ได้อีก
สภาพปัญหาและลักษณะของการเป็นหนี้
สภาพปัญหาและลักษณะของการเป็นหนี้ จากข้อมูลการเป็นหนี้ของภาคประชาชนที่มีอยู่ทั้งของภาครัฐและปรากฏตามสื่อต่าง ๆ อาจประมวลได้ดังนี้
1. หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ปล่อยโดยภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Banking Business) และหนี้บัตรเครดิต ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Banking Business) ได้แก่ บริษัทเงินด่วนทั้งหลาย ที่มีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลโดยเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 30-40 และสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งบริษัทเงินด่วนเงินกู้ทั้งหลายถือว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อยเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จึงคิดอัตราดอกเบี้ยสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่ร้อยละ 58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์การคุมสินเชื่อส่วนบุคคลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด คือ อัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมต้องไม่เกินร้อยละ 28 แต่ประชาชนที่ไปกู้เงินจากธุรกิจเหล่านี้มักไม่รู้ว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เพราะไม่มีการแจกแจงดอกเบี้ยให้เห็น โดยจะคิดรวมเป็นวงเงินในการชำระหนี้ในแต่ละเดือน ไม่ได้กำหนดเป็นอัตราต่อปี แต่เมื่อคำนวณรวมทั้งปีแล้วดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงจะเกินกว่าดอกเบี้ยทั้งปีที่กฎหมายกำหนด สำหรับหนี้บัตรเครดิต แม้จะมีการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงโดยไม่ขัดต่อกฎหมายแล้ว ปรากฏว่ายังมีการเรียกเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ในกรณีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งล้วนทำให้เกิดอุปสรรค ในการแก้ไขหนี้สินภาคประชาชน
2. หนี้เงินกู้นอกระบบ การกู้เงินนอกระบบนั้น ผู้กู้มักจะต้องชำระดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด (ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี) แล้วแต่จะเรียกจำนวนเท่าใดโดยมีพฤติการณ์ในการให้กู้เงินดังนี้
2.1 การกู้เงินของลูกหนี้กับนายทุนเงินกู้นั้น อาจจะมีหลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน หรือจะไม่มีสิ่งใดค้ำประกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหนี้ เครดิตของลูกหนี้ ตลอดจนความสนิทสนมคุ้นเคยระหว่างลูกหนี้กับนายทุนเงินกู้
2.2 การเงินนั้นอาจจะมีการทำสัญญากู้เงิน หรือไม่ทำสัญญาก็มีปรากฏ
2.3 การกู้เงินโดยรูดบัตรซื้อสินค้าแต่ไม่มีการจำหน่ายสินค้าออกจากร้าน แต่นำเงินของตนเองไปให้คนอื่นกู้ เป็นการใช้การซื้อสินค้าอำพรางเพื่อการกู้ยืมเงินแล้วหักค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการ ซึ่งค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการนี้ก็ถือว่าเป็นดอกเบี้ยทางกฎหมายและเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
2.4 การบังคับชำระหนี้ นายทุนแต่ละรายจะมีพฤติการณ์แตกต่างกัน นายทุนบางรายอาจจะผ่อนผันให้ลูกหนี้แต่จะคิดดอกทบต้น ซึ่งเป็นภาระของลูกหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แต่เจ้าหนี้บางรายอาจไม่ผ่อนผันให้และใช้วิธีการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย หรือประจานลูกหนี้ต่อสาธารณชนให้ได้รับความอับอาย หรือยึดเอาทรัพย์สิน หือใช้มาตรการทางกฎหมายในการฟ้องลูกหนี้ตามสัญญาเงินกู้ที่ทำไว้ ลูกหนี้ส่วนใหญ่จะไม่สู้คดีและจะตกลงประนอมหนี้ในชั้นศาล ซึ่งศาลจะบังคับให้ชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้ในจำนวนเงินที่สูงกว่าที่กู้ไปจริง
2.5 การกู้เงินบางรายลูกหนี้จะไม่ได้รับเงินกู้เต็มตามจำนวนที่ขอกู้ เพราะจะถูกหักค่านายหน้า หรือ ค่าปากถุง เช่น กู้เงินจำนวน 30,000 บาท จะถูกหักเงินไว้เป็นค่านายหน้า 3,000 บาท ค่าปากถุงอีก 3,000 บาท ได้รับเงินจริงเพียง 24,000 บาท
มาตรการและแนวทางดำเนินการ
- มาตรการระยะที่ 1 สืบสวนปราบปราม (มาตรการเร่งด่วน)
- มาตรการระยะที่ 2 ป้องปราม/การเจรจาตกลง (มาตรการระยะกลาง)
- มาตรการระยะที่ 3 แก้ไขกฎหมาย/ยกร่างกฎหมาย (มาตรการระยะยาว)
1. มาตรการระยะที่ 1 สืบสวนปราบปราม (มาตรการเร่งด่วน) เป็นมาตรการปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบที่มีพฤติการณ์ฉ้อโกงประชาชนและเข้าลักษณะผู้มีอิทธิพล ซึ่งต้องเร่งดำเนินการให้เห็นผลภายในระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อดำเนินคดีกับนายทุนเงินกู้นอกระบบที่ใช้ช่องว่างและความเดือดร้อนของประชาชนหาประโยชน์ด้วยการเอาเปรียบคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือมีพฤติการณ์เร่งรัดติดตามทวงหนี้ด้วยการข่มขู่ ทำร้ายร่างกายลูกหนี้เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้
1.1 เร่งดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับบุคคลที่เป็นลูกหนี้เหยื่อของนายทุนเงินกู้นอกระบบ รวมทั้งเงินกู้บัตรเครดิตต่าง ๆ โดยแบ่งตามกลุ่มของลูกหนี้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่หนึ่ง คือลูกหนี้ที่ถูกศาลตัดสินแล้ว หรือลูกหนี้ไม่ยอมให้ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอม
- กลุ่มที่สอง คือลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างถูกฟ้องศาลยังไม่ตัดสิน
- กลุ่มที่สาม คือลูกหนี้ที่เป็นหนี้อยู่ในปัจจุบัน ยังไม่ถูกฟ้อง
ให้ลูกหนี้ทั้ง 3 กลุ่มนี้ไปลงทะเบียนพร้อมนำเอกสารหลักฐานการเป็นหนี้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่
1.2 จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกำจัดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ทำหน้าที่เป็นหน่วยกลางรับแจ้งเรื่อง เดือดร้อนของลูกหนี้ และเชิญลูกหนี้กับเจ้าหนี้มาให้ข้อเท็จจริงเพื่อทำการเจรจาไกล่เกลี่ยให้เจ้าหนี้เงินกู้ทั้งหลาย ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถใช้หนี้และสามารถดำรงชีพอยู่ได้ มีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้
ก) องค์ประกอบของศูนย์ปฏิบัติการกำจัดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมบังคับคดี กรมการปกครอง กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาทนายความ และผู้แทนภาคประชาชน เช่น กปช. ปปง. กลุ่มพิทักษ์ธรรม เป็นต้น
ข) หน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการกำจัดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม
(1) รับคำร้อง เรื่องราวร้องทุกข์กรณีการกู้ยืมเงินนอกระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลสถิติของผู้เดือดร้อนที่เกิดจากการก่อหนี้ที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการรับเรื่องร้องทุกข์ผ่านทางตู้ไปรษณีย์ โทรศัพท์สายด่วน และทางเว็บไซด์
(2) ดำเนินการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ที่มาจากการกู้ยืมให้เป็นการกู้ยืมที่คิดอัตราดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด และการทำสัญญาให้จำนวนเงินตรงตามข้อเท็จจริงเพื่อบรรเทาหนี้ให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระได้ กรณีหนี้บัตรเครดิตให้มีการพิจารณายกเลิกเงินค่าปรับ ค่าธรรมเนียมที่เป็นเงินเพิ่มต่าง ๆ และเจรจาให้มีการนำเงินส่วนเกินต่าง ๆ ที่ลูกหนี้ชำระไปแล้วมาหักกลบ ลบหนี้ที่มีอยู่ หรือที่จะมีการชำระได้
(3) หากพบว่ามีนายทุนเงินกู้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมายให้ใช้มาตรการ ดังต่อไปนี้
3.1 มาตรการทางอาญา โดยให้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีกับนายทุนทุกราย
3.2 มาตรการยึดทรัพย์สิน หากเป็นความผิดมูลฐานให้ใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดำเนินการกับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดนั้น
3.3 มาตรการทางกฎหมายภาษีอากร ให้กรมสรรพากรพิจารณาดำเนินการตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481
2. มาตรการระยะที่ 2 ป้องปราม/การเจรจาตกลง (มาตรการระยะกลาง) เป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อเงินกู้ที่ถูกบังคับคดีแล้ว ให้บรรเทาความเดือดร้อน และป้องปรามมิให้ปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบขยายวงกว้างออกไปจนมีผลกระทบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้
2.1 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกบังคับคดี ถูกยึดทรัพย์สินไปแล้ว โดยสืบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงหากพบว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบหรือฉ้อโกงลูกหนี้ ให้ยื่นคำร้องขอลดหนี้ที่คงค้างลงเพื่อให้ความเป็นธรรมและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกหนี้
2.2 จัดการประชุมสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banking Business) และนายทุนเงินกู้เงินด่วนทั้งหลาย เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบและแนวทางการปฏิบัติให้การดำเนินธุรกิจเงินกู้เป็นไปอย่างถูกต้องตามที่กฎหมาย โดยไม่อาศัยช่องว่างของกฎหมายเอารัดเอาเปรียบลูกหนี้อีก เช่น คิดดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนดโดยไม่มีการคิดเพิ่มในรูปของค่าธรรมเนียมอื่นใด หรือการเช่าซื้อสินค้าก็ต้องมีการได้สินค้าจริง ๆ และสถาบันการเงินต้องถือปฏิบัติตามระเบียบของศูนย์เครดิต (Credit Bureau) อย่างเคร่งครัด เพื่อความเป็นธรรมของทั้งฝ่ายลูกหนี้ เจ้าหนี้และความสงบสุขของสังคม
3. มาตรการระยะที่ 3 แก้ไขกฎหมาย/ยกร่างกฎหมาย (มาตรการระยะยาว) เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี โดยมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
3.1 เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย ว่าด้วยความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด พ.ศ. 2475 และการยื่นล้มละลายโดยทุจริต เป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
3.2 เสนอแก้ไขปรับปรุง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2547 ส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาขอให้ล้มละลาย (ส่วนบุคคล) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอเป็นบุคคลล้มละลาย การไต่สวนลูกหนี้ การประนอมหนี้ ฯลฯ เพื่อลดภาระการผ่อนชำระหนี้ได้ โดยมีขั้นตอนกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายให้รวดเร็ว รอบคอบ ดังนี้
- การจัดตั้งคณะกรรมการไต่สวนล้มละลายส่วนบุคคล (Personal Bankruptcy Inquiry Trustee) เพื่อป้องกันการยื่นล้มละลายโดยทุจริตและช่วยลดภาระคดีสู่ศาลที่มีเขตอำนาจ
- ลูกหนี้ขอล้มละลายตนเองได้โดยการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลาย
- ให้ลูกหนี้เสนอแผนการชำระหนี้โดยความเห็นชอบของศาลแพ่ง
- หนี้ที่ลูกหนี้ไม่สามารถขอปลดได้ อาทิเช่น หนี้เกี่ยวกับภาษี หนี้ค่าปรับหรือทรัพย์ที่ถูกริบ หรือหนี้ที่เกิดจากคดีอาญา และหนี้ค่ารักษาพยาบาลของลูกหนี้ หรือค่ารักษาพยาบาลของบุคคลที่ลูกหนี้ทำให้ได้รับความเสียหายจากพาหนะที่มีเครื่องยนต์ขณะที่มึนเมา เป็นต้น
ระยะเวลาดำเนินการ
เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2548 ถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2551
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. กฎหมายที่มีช่องว่างได้รับการปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในปัจจุบัน และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
2. ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาหนี้สินและที่ถูกเอารัดเอาเปรียบได้รับการแก้ไขเยียวยาให้สามารถฟื้นฟูฐานะตนเองให้กลับมาดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติสุข
3. นำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยบรรดาเจ้าหนี้ผิดกฎหมายจะเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้ากระทำความผิด โดยการอาศัยช่องว่างของกฎหมายอีกต่อไป ทั้งยังมีการวางระเบียบ กำหนดการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออย่างมีระบบ
4. รัฐบาลสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้นไป ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพราะปัญหาหนี้สินภาคประชาชนทุกรายได้รับการแก้ไขเยียวยา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 6 ธันวาคม 2548--จบ--
หลักการและเหตุผล
ปัจจุบันปรากฏว่า แนวโน้มการก่อหนี้ภาคประชาชนยังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการประกอบธุรกิจที่เข้าลักษณะการให้กู้ยืมเงินนอกระบบ เพราะสาเหตุมาจากลูกหนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ หรือไม่มีรายได้ประจำ ตามเงื่อนไขของธนาคาร จึงทำให้ประชาชนไม่สามารถกู้เงินในระบบปกติได้ จึงมีการทำธุรกิจการให้กู้ยืมเงินโดยใช้การซื้อขายสินค้าอำพรางซึ่งธุรกิจเช่นนี้ มีลักษณะฉ้อโกงประชาชน ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินจากบัตรเครดิตในรูปแบบต่าง ๆ โดยเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเรียกเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เป็นเหตุให้ลูกหนี้ส่วนใหญ่ คือ ผู้มีรายได้น้อยที่ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง พนักงานบริษัท พนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการส่วนใหญ่ ได้รับความเดือดร้อนมากจากการถูกเจ้าหนี้ติดตามหวงหนี้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย เข้ายึดทรัพย์สินโดยการทำผิดกฎหมายและไม่แจ้งล่วงหน้า ฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งเรียกเงินกู้คืน โดยอาศัยช่องว่างและความชำนาญด้านกฎหมาย แม้ว่ารัฐบาลได้แก้ไขพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับนิติบุคคลว่าด้วยการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และการล้มละลายของบุคคลซึ่งยังต้องรอให้เจ้าหนี้ฟ้องล้มละลายเท่านั้น ไม่เปิดโอกาสให้ลูกหนี้สามารถฟื้นฟูสภาพหนี้ของตนเองได้แต่ประการใด ดังนั้น เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนและการปราบปรามผู้มีอิทธิพลนายทุนเงินกู้นอกระบบบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนที่เกิดจากการอาศัยช่องว่างของกฎหมายและความเดือดร้อนจำเป็นของประชาชนที่ไม่มีทางเลือก เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการถูกเอารัดเอาเปรียบให้สามารถฟื้นฟูตนเองให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยปกติสุข ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับกฎหมายล้มละลายส่วนบุคคล อาทิ สหรัฐ-อเมริกา ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งมีระบบกฎหมายว่าด้วยการล้มละลายส่วนบุคคล โดยให้ความคุ้มครองประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อ ช่วยให้สามารถฟื้นฟูฐานะทางเศรษฐกิจและการเงินของตนเองเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ กระทรวงยุติธรรมพิจารณาแล้ว เห็นว่า ควรกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนเรียกว่า “การยื่นล้มละลายส่วนบุคคล” (Personal Bankruptcy Discharge) เพื่อให้นโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจนสัมฤทธิ์ผลภายในระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 — 2550
วัตถุประสงค์
1. เพื่อช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนให้กับคนยากจนทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเจ้าหนี้ให้ช่องว่างทางกฎหมายเอาเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ในระบบและ/หรือหนี้นอกระบบ
2. เพื่อปราบปรามเจ้าหนี้ผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษตามกฎหมายและป้องปรามไม่ให้มีการกระทำที่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเอาเปรียบลูกหนี้ หรือกระทำการข่มขู่ หรือยึดทรัพย์ลูกหนี้ด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย
3. เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนให้สามารถขอฟื้นฟูหนี้ทั้งหมดของตนเองให้หมดไปและให้ลูกหนี้สามารถกลับมาดำรงชีพอยู่ได้โดยปรกติ สร้างความเป็นธรรมในสังคม
4. เพื่อดำเนินการแก้ไขกฎหมาย หรือยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ด้วยการเพิ่มมาตรการลงโทษเจ้าหนี้ที่กระทำความผิด
5. เพื่อสร้างความเข้มแข็งของระบบการเงินภาคประชาชน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่อาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
เป้าหมาย
1. การประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันมิให้ตกเป็นเหยื่อนายทุนเงินกู้นอกระบบการถูกเอารัดเอาเปรียบ
2. ลดการเอาเปรียบลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ปล่อยโดยภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Banking Business) รวมถึงหนี้สินจากบัตรเครดิต ด้วยมาตรการเจรจาตกลงระหว่างเจ้าหนี้ ลูกหนี้ โดยให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบและเป็นธรรม
3. ดำเนินคดีทางกฎหมายทั้งคดีอาญา มาตรการยึดทรัพย์สินและมาตรการทางภาษีกับนายทุนปล่อยเงินกู้ที่เข้าข่ายผู้มีอิทธิพลและฉ้อโกงประชาชนทุกราย
4. แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างโอกาสให้ลูกหนี้ได้รับความเป็นธรรม และสามารถต่อสู้ทางกฎหมายกับเจ้าหนี้ และปิดช่องว่างของกฎหมายเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้อาศัยช่องว่างของกฎหมายเอารัดเอาเปรียบลูกหนี้ได้อีก
สภาพปัญหาและลักษณะของการเป็นหนี้
สภาพปัญหาและลักษณะของการเป็นหนี้ จากข้อมูลการเป็นหนี้ของภาคประชาชนที่มีอยู่ทั้งของภาครัฐและปรากฏตามสื่อต่าง ๆ อาจประมวลได้ดังนี้
1. หนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ปล่อยโดยภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Banking Business) และหนี้บัตรเครดิต ภาคธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-Banking Business) ได้แก่ บริษัทเงินด่วนทั้งหลาย ที่มีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลโดยเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 30-40 และสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งบริษัทเงินด่วนเงินกู้ทั้งหลายถือว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อยเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จึงคิดอัตราดอกเบี้ยสำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่ร้อยละ 58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์การคุมสินเชื่อส่วนบุคคลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด คือ อัตราดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมต้องไม่เกินร้อยละ 28 แต่ประชาชนที่ไปกู้เงินจากธุรกิจเหล่านี้มักไม่รู้ว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เพราะไม่มีการแจกแจงดอกเบี้ยให้เห็น โดยจะคิดรวมเป็นวงเงินในการชำระหนี้ในแต่ละเดือน ไม่ได้กำหนดเป็นอัตราต่อปี แต่เมื่อคำนวณรวมทั้งปีแล้วดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงจะเกินกว่าดอกเบี้ยทั้งปีที่กฎหมายกำหนด สำหรับหนี้บัตรเครดิต แม้จะมีการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงโดยไม่ขัดต่อกฎหมายแล้ว ปรากฏว่ายังมีการเรียกเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ในกรณีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งล้วนทำให้เกิดอุปสรรค ในการแก้ไขหนี้สินภาคประชาชน
2. หนี้เงินกู้นอกระบบ การกู้เงินนอกระบบนั้น ผู้กู้มักจะต้องชำระดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด (ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี) แล้วแต่จะเรียกจำนวนเท่าใดโดยมีพฤติการณ์ในการให้กู้เงินดังนี้
2.1 การกู้เงินของลูกหนี้กับนายทุนเงินกู้นั้น อาจจะมีหลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน หรือจะไม่มีสิ่งใดค้ำประกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหนี้ เครดิตของลูกหนี้ ตลอดจนความสนิทสนมคุ้นเคยระหว่างลูกหนี้กับนายทุนเงินกู้
2.2 การเงินนั้นอาจจะมีการทำสัญญากู้เงิน หรือไม่ทำสัญญาก็มีปรากฏ
2.3 การกู้เงินโดยรูดบัตรซื้อสินค้าแต่ไม่มีการจำหน่ายสินค้าออกจากร้าน แต่นำเงินของตนเองไปให้คนอื่นกู้ เป็นการใช้การซื้อสินค้าอำพรางเพื่อการกู้ยืมเงินแล้วหักค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการ ซึ่งค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการนี้ก็ถือว่าเป็นดอกเบี้ยทางกฎหมายและเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
2.4 การบังคับชำระหนี้ นายทุนแต่ละรายจะมีพฤติการณ์แตกต่างกัน นายทุนบางรายอาจจะผ่อนผันให้ลูกหนี้แต่จะคิดดอกทบต้น ซึ่งเป็นภาระของลูกหนี้ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แต่เจ้าหนี้บางรายอาจไม่ผ่อนผันให้และใช้วิธีการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย หรือประจานลูกหนี้ต่อสาธารณชนให้ได้รับความอับอาย หรือยึดเอาทรัพย์สิน หือใช้มาตรการทางกฎหมายในการฟ้องลูกหนี้ตามสัญญาเงินกู้ที่ทำไว้ ลูกหนี้ส่วนใหญ่จะไม่สู้คดีและจะตกลงประนอมหนี้ในชั้นศาล ซึ่งศาลจะบังคับให้ชำระหนี้ตามสัญญาเงินกู้ในจำนวนเงินที่สูงกว่าที่กู้ไปจริง
2.5 การกู้เงินบางรายลูกหนี้จะไม่ได้รับเงินกู้เต็มตามจำนวนที่ขอกู้ เพราะจะถูกหักค่านายหน้า หรือ ค่าปากถุง เช่น กู้เงินจำนวน 30,000 บาท จะถูกหักเงินไว้เป็นค่านายหน้า 3,000 บาท ค่าปากถุงอีก 3,000 บาท ได้รับเงินจริงเพียง 24,000 บาท
มาตรการและแนวทางดำเนินการ
- มาตรการระยะที่ 1 สืบสวนปราบปราม (มาตรการเร่งด่วน)
- มาตรการระยะที่ 2 ป้องปราม/การเจรจาตกลง (มาตรการระยะกลาง)
- มาตรการระยะที่ 3 แก้ไขกฎหมาย/ยกร่างกฎหมาย (มาตรการระยะยาว)
1. มาตรการระยะที่ 1 สืบสวนปราบปราม (มาตรการเร่งด่วน) เป็นมาตรการปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบที่มีพฤติการณ์ฉ้อโกงประชาชนและเข้าลักษณะผู้มีอิทธิพล ซึ่งต้องเร่งดำเนินการให้เห็นผลภายในระยะเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อดำเนินคดีกับนายทุนเงินกู้นอกระบบที่ใช้ช่องว่างและความเดือดร้อนของประชาชนหาประโยชน์ด้วยการเอาเปรียบคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือมีพฤติการณ์เร่งรัดติดตามทวงหนี้ด้วยการข่มขู่ ทำร้ายร่างกายลูกหนี้เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้
1.1 เร่งดำเนินการสำรวจ ตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับบุคคลที่เป็นลูกหนี้เหยื่อของนายทุนเงินกู้นอกระบบ รวมทั้งเงินกู้บัตรเครดิตต่าง ๆ โดยแบ่งตามกลุ่มของลูกหนี้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่หนึ่ง คือลูกหนี้ที่ถูกศาลตัดสินแล้ว หรือลูกหนี้ไม่ยอมให้ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอม
- กลุ่มที่สอง คือลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างถูกฟ้องศาลยังไม่ตัดสิน
- กลุ่มที่สาม คือลูกหนี้ที่เป็นหนี้อยู่ในปัจจุบัน ยังไม่ถูกฟ้อง
ให้ลูกหนี้ทั้ง 3 กลุ่มนี้ไปลงทะเบียนพร้อมนำเอกสารหลักฐานการเป็นหนี้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่
1.2 จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกำจัดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ทำหน้าที่เป็นหน่วยกลางรับแจ้งเรื่อง เดือดร้อนของลูกหนี้ และเชิญลูกหนี้กับเจ้าหนี้มาให้ข้อเท็จจริงเพื่อทำการเจรจาไกล่เกลี่ยให้เจ้าหนี้เงินกู้ทั้งหลาย ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถใช้หนี้และสามารถดำรงชีพอยู่ได้ มีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้
ก) องค์ประกอบของศูนย์ปฏิบัติการกำจัดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมบังคับคดี กรมการปกครอง กรมสรรพากร สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาทนายความ และผู้แทนภาคประชาชน เช่น กปช. ปปง. กลุ่มพิทักษ์ธรรม เป็นต้น
ข) หน้าที่ของศูนย์ปฏิบัติการกำจัดหนี้ที่ไม่เป็นธรรม
(1) รับคำร้อง เรื่องราวร้องทุกข์กรณีการกู้ยืมเงินนอกระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลสถิติของผู้เดือดร้อนที่เกิดจากการก่อหนี้ที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการรับเรื่องร้องทุกข์ผ่านทางตู้ไปรษณีย์ โทรศัพท์สายด่วน และทางเว็บไซด์
(2) ดำเนินการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ที่มาจากการกู้ยืมให้เป็นการกู้ยืมที่คิดอัตราดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด และการทำสัญญาให้จำนวนเงินตรงตามข้อเท็จจริงเพื่อบรรเทาหนี้ให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระได้ กรณีหนี้บัตรเครดิตให้มีการพิจารณายกเลิกเงินค่าปรับ ค่าธรรมเนียมที่เป็นเงินเพิ่มต่าง ๆ และเจรจาให้มีการนำเงินส่วนเกินต่าง ๆ ที่ลูกหนี้ชำระไปแล้วมาหักกลบ ลบหนี้ที่มีอยู่ หรือที่จะมีการชำระได้
(3) หากพบว่ามีนายทุนเงินกู้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมายให้ใช้มาตรการ ดังต่อไปนี้
3.1 มาตรการทางอาญา โดยให้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ดำเนินคดีกับนายทุนทุกราย
3.2 มาตรการยึดทรัพย์สิน หากเป็นความผิดมูลฐานให้ใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ดำเนินการกับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดนั้น
3.3 มาตรการทางกฎหมายภาษีอากร ให้กรมสรรพากรพิจารณาดำเนินการตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481
2. มาตรการระยะที่ 2 ป้องปราม/การเจรจาตกลง (มาตรการระยะกลาง) เป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อเงินกู้ที่ถูกบังคับคดีแล้ว ให้บรรเทาความเดือดร้อน และป้องปรามมิให้ปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบขยายวงกว้างออกไปจนมีผลกระทบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้
2.1 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด กรมบังคับคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกบังคับคดี ถูกยึดทรัพย์สินไปแล้ว โดยสืบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงหากพบว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบหรือฉ้อโกงลูกหนี้ ให้ยื่นคำร้องขอลดหนี้ที่คงค้างลงเพื่อให้ความเป็นธรรมและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกหนี้
2.2 จัดการประชุมสถาบันการเงิน ภาคธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banking Business) และนายทุนเงินกู้เงินด่วนทั้งหลาย เพื่อร่วมกันกำหนดกรอบและแนวทางการปฏิบัติให้การดำเนินธุรกิจเงินกู้เป็นไปอย่างถูกต้องตามที่กฎหมาย โดยไม่อาศัยช่องว่างของกฎหมายเอารัดเอาเปรียบลูกหนี้อีก เช่น คิดดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนดโดยไม่มีการคิดเพิ่มในรูปของค่าธรรมเนียมอื่นใด หรือการเช่าซื้อสินค้าก็ต้องมีการได้สินค้าจริง ๆ และสถาบันการเงินต้องถือปฏิบัติตามระเบียบของศูนย์เครดิต (Credit Bureau) อย่างเคร่งครัด เพื่อความเป็นธรรมของทั้งฝ่ายลูกหนี้ เจ้าหนี้และความสงบสุขของสังคม
3. มาตรการระยะที่ 3 แก้ไขกฎหมาย/ยกร่างกฎหมาย (มาตรการระยะยาว) เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาประมาณ 2-3 ปี โดยมีแนวทางดำเนินการ ดังนี้
3.1 เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย ว่าด้วยความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด พ.ศ. 2475 และการยื่นล้มละลายโดยทุจริต เป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
3.2 เสนอแก้ไขปรับปรุง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2547 ส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาขอให้ล้มละลาย (ส่วนบุคคล) เพื่อให้ลูกหนี้สามารถยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอเป็นบุคคลล้มละลาย การไต่สวนลูกหนี้ การประนอมหนี้ ฯลฯ เพื่อลดภาระการผ่อนชำระหนี้ได้ โดยมีขั้นตอนกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายให้รวดเร็ว รอบคอบ ดังนี้
- การจัดตั้งคณะกรรมการไต่สวนล้มละลายส่วนบุคคล (Personal Bankruptcy Inquiry Trustee) เพื่อป้องกันการยื่นล้มละลายโดยทุจริตและช่วยลดภาระคดีสู่ศาลที่มีเขตอำนาจ
- ลูกหนี้ขอล้มละลายตนเองได้โดยการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลาย
- ให้ลูกหนี้เสนอแผนการชำระหนี้โดยความเห็นชอบของศาลแพ่ง
- หนี้ที่ลูกหนี้ไม่สามารถขอปลดได้ อาทิเช่น หนี้เกี่ยวกับภาษี หนี้ค่าปรับหรือทรัพย์ที่ถูกริบ หรือหนี้ที่เกิดจากคดีอาญา และหนี้ค่ารักษาพยาบาลของลูกหนี้ หรือค่ารักษาพยาบาลของบุคคลที่ลูกหนี้ทำให้ได้รับความเสียหายจากพาหนะที่มีเครื่องยนต์ขณะที่มึนเมา เป็นต้น
ระยะเวลาดำเนินการ
เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2548 ถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2551
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. กฎหมายที่มีช่องว่างได้รับการปรับปรุง แก้ไข เพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในปัจจุบัน และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
2. ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาหนี้สินและที่ถูกเอารัดเอาเปรียบได้รับการแก้ไขเยียวยาให้สามารถฟื้นฟูฐานะตนเองให้กลับมาดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติสุข
3. นำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยบรรดาเจ้าหนี้ผิดกฎหมายจะเกิดความเกรงกลัว ไม่กล้ากระทำความผิด โดยการอาศัยช่องว่างของกฎหมายอีกต่อไป ทั้งยังมีการวางระเบียบ กำหนดการควบคุมการปล่อยสินเชื่ออย่างมีระบบ
4. รัฐบาลสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้นไป ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพราะปัญหาหนี้สินภาคประชาชนทุกรายได้รับการแก้ไขเยียวยา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 6 ธันวาคม 2548--จบ--