คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องการปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ แล้วมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีคณะที่ 7 (ฝ่ายกฎหมายฯ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธานฯ ที่อนุมัติให้ปรับอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
1. ให้ปรับปรุงอัตราค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามโครงสร้างของอัตราเงินเดือนที่แตกต่างกันเป็น 3 กลุ่ม โดยให้ใช้เงินจากงบประมาณของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ เอง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 (ยกเว้นตำแหน่งผู้ว่าการหรือผู้อำนวยการซึ่งใช้สัญญาจ้าง) ดังนี้
1) กลุ่มที่ 1 รัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สามารถกำหนดอัตราเงินเดือนค่าจ้างฯ ได้เองจำนวน 15 แห่ง ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งเป็นผู้พิจารณาปรับอัตราค่าจ้าง
2) กลุ่มที่ 2 รัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนเป็นของตนเอง จำนวน 9 แห่ง ซึ่งบางแห่งได้ขอปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนโดยพิจารณารวมค่างานไว้ด้วยแล้ว ทำให้อัตราค่าตอบแทนใกล้เคียงกับค่าตอบแทนตลาด ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ โดยให้คำนึงถึงการปรับค่าจ้างครั้งที่ผ่านมา สถานะทางการเงิน ผลการประกอบกิจการ การประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ให้มีผลกกระทบให้รายได้ลดลงเพราะการเพิ่มค่าตอบแทน ทั้งนี้ ควรให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม โดยไม่เป็นการผลักภาระให้ประชาชน และไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลังในการนำรายได้ส่งคลังแผ่นดิน
3) กลุ่มที่ 3 รัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้าง 58 ขั้น จำนวน 40 แห่ง ซึ่งมีโครงสร้างเงินเดือนใกล้เคียงกับภาคราชการ เห็นควรให้ปรับในอัตราร้อยละ 5 ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับเช่นเดียวกับภาคราชการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน
2. เมื่อรัฐวิสาหกิจแห่งใดได้ปรับอัตราค่าจ้างดังกล่าวแล้วให้ส่งบัญชีโครงสร้างเงินเดือนที่มีการปรับอัตราค่าจ้างและแจ้งข้อมูลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการปรับค่าจ้างให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ทราบเพื่อประโยชน์ในการบริหารค่าจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งระบบต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 14 มีนาคม 2549--จบ--
1. ให้ปรับปรุงอัตราค่าจ้างของพนักงานรัฐวิสาหกิจตามโครงสร้างของอัตราเงินเดือนที่แตกต่างกันเป็น 3 กลุ่ม โดยให้ใช้เงินจากงบประมาณของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ เอง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 (ยกเว้นตำแหน่งผู้ว่าการหรือผู้อำนวยการซึ่งใช้สัญญาจ้าง) ดังนี้
1) กลุ่มที่ 1 รัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สามารถกำหนดอัตราเงินเดือนค่าจ้างฯ ได้เองจำนวน 15 แห่ง ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งเป็นผู้พิจารณาปรับอัตราค่าจ้าง
2) กลุ่มที่ 2 รัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนเป็นของตนเอง จำนวน 9 แห่ง ซึ่งบางแห่งได้ขอปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนโดยพิจารณารวมค่างานไว้ด้วยแล้ว ทำให้อัตราค่าตอบแทนใกล้เคียงกับค่าตอบแทนตลาด ให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับ โดยให้คำนึงถึงการปรับค่าจ้างครั้งที่ผ่านมา สถานะทางการเงิน ผลการประกอบกิจการ การประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ให้มีผลกกระทบให้รายได้ลดลงเพราะการเพิ่มค่าตอบแทน ทั้งนี้ ควรให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม โดยไม่เป็นการผลักภาระให้ประชาชน และไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกระทรวงการคลังในการนำรายได้ส่งคลังแผ่นดิน
3) กลุ่มที่ 3 รัฐวิสาหกิจที่ใช้บัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้าง 58 ขั้น จำนวน 40 แห่ง ซึ่งมีโครงสร้างเงินเดือนใกล้เคียงกับภาคราชการ เห็นควรให้ปรับในอัตราร้อยละ 5 ของอัตราค่าจ้างที่ได้รับเช่นเดียวกับภาคราชการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน
2. เมื่อรัฐวิสาหกิจแห่งใดได้ปรับอัตราค่าจ้างดังกล่าวแล้วให้ส่งบัญชีโครงสร้างเงินเดือนที่มีการปรับอัตราค่าจ้างและแจ้งข้อมูลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการปรับค่าจ้างให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ทราบเพื่อประโยชน์ในการบริหารค่าจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งระบบต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 14 มีนาคม 2549--จบ--