คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนตลาดการเงิน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้
1. ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 388) พ.ศ. 2544 ที่กำหนดในสถาบันการเงินสามารถนำผลขาดทุนการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ มาหักออกจากกำไรที่เกิดจากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ในเดือนภาษีเดียวกันได้
2. ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ จากร้อยละ 3.0 เหลือร้อยละ 0.01 ให้แก่การประกอบกิจการธนาคารกิจการธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ และการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ สำหรับรายรับจากการประกอบธุรกรรมในตลาดการเงิน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
กระทรวงการคลังรายงานว่า
1. คณะกรรมการกำกับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังจัดตั้งขึ้น โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้เห็นชอบตามมติคณะทำงานด้านภาษีอากรที่เห็นควรให้ปรับลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการประกอบธุรกรรมทางการเงินของสถาบันการเงินจากร้อยละ 3.0 เหลือร้อยละ 0.01 เพื่อให้มีการทำธุรกรรมในตลาดการเงินเพิ่มขึ้น ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถทำหน้าที่เป็น Market Maker
2. กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย และเพื่อให้การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะของสถาบันการเงินเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สมควรยกเลิกสิทธิประโยชน์ภาษีกรณีการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 388) พ.ศ. 2544 ที่กำหนดให้สถาบันการเงินสามารถนำผลขาดทุนจากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ มาหักออกจากกำไรที่เกิดจากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ในเดือนภาษีเดียวกันได้ จึงได้เสนอร่างพระราช-กฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 28 พฤศจิกายน 2549--จบ--
ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้
1. ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ 388) พ.ศ. 2544 ที่กำหนดในสถาบันการเงินสามารถนำผลขาดทุนการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ มาหักออกจากกำไรที่เกิดจากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ในเดือนภาษีเดียวกันได้
2. ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ จากร้อยละ 3.0 เหลือร้อยละ 0.01 ให้แก่การประกอบกิจการธนาคารกิจการธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ และการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ สำหรับรายรับจากการประกอบธุรกรรมในตลาดการเงิน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
กระทรวงการคลังรายงานว่า
1. คณะกรรมการกำกับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ซึ่งกระทรวงการคลังจัดตั้งขึ้น โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้เห็นชอบตามมติคณะทำงานด้านภาษีอากรที่เห็นควรให้ปรับลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการประกอบธุรกรรมทางการเงินของสถาบันการเงินจากร้อยละ 3.0 เหลือร้อยละ 0.01 เพื่อให้มีการทำธุรกรรมในตลาดการเงินเพิ่มขึ้น ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถทำหน้าที่เป็น Market Maker
2. กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย และเพื่อให้การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะของสถาบันการเงินเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สมควรยกเลิกสิทธิประโยชน์ภาษีกรณีการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 388) พ.ศ. 2544 ที่กำหนดให้สถาบันการเงินสามารถนำผลขาดทุนจากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ มาหักออกจากกำไรที่เกิดจากการซื้อหรือขายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ในเดือนภาษีเดียวกันได้ จึงได้เสนอร่างพระราช-กฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 28 พฤศจิกายน 2549--จบ--