คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย (วันที่ 27 สิงหาคม—20 พฤศจิกายน 2549) ดังนี้
1. สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม — 20 พฤศจิกายน 2549)
1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 439 อำเภอ 40 กิ่งอำเภอ 16 เขต 2,650 ตำบล 16,093 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,315,438 คน 1,225,625 ครัวเรือน
1.2 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 290 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 60 คน อ่างทอง 31 คน พิจิตร 30 คน สิงห์บุรี 21 คน นครสวรรค์ 21 คน สุพรรณบุรี 17 คน สุโขทัย 14 คน พิษณุโลก 12 คน ปราจีนบุรี 12 คน ชัยภูมิ 10 คน ชัยนาท 10 คน ยโสธร 9 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 6 คน ลพบุรี 4 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน จันทบุรี 3 คน ร้อยเอ็ด 3 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน ศรีสะเกษ 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน พังงา 1 คน และนครปฐม 1 คน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 12,957 หลัง ถนน 7,405 สาย สะพาน 490 แห่ง ท่อระบายน้ำ 428 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 561 แห่ง พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 6,046,111 ไร่ (ข้อมูลจากการบูรณาการระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) บ่อปลา/กุ้ง 46,248 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,331 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 6,433,461,892 บาท (ไม่รวมทรัพย์สินและบ้านเรือนของประชาชน)
2. สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2549)
2.1 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 35 จังหวัด
2.2 ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร ใน 49 อำเภอ 11 เขต (คิดเป็นร้อยละ 38.96 ของอำเภอ/กิ่งอำเภอและเขตทั้งหมดใน 12 จังหวัดที่ยังประสบอุทกภัย) 482 ตำบล 3,650 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 858,533 คน 294,427 ครัวเรือน แยกเป็น
ที่ จังหวัด จำนวนอำเภอ/ จำนวนอำเภอ/ จำนวนราษฎรที่ยัง หมายเหตุ
กิ่งฯทั้งหมด กิ่งฯที่ยังมี เดือดร้อน
สถานการณ์อุทกภัย ครัวเรือน คน
1 พิจิตร 11/2 3 18,500 65,460 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
2 นครสวรรค์ 10/2 5 30,650 72,116 ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 เมตร
3 สิงห์บุรี 6 3 15,460 56,760 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
4 อ่างทอง 7 6 25,166 75,460 ระดับน้ำสูง 0.25-0.70 เมตร
5 พระนครศรีอยุธยา 16 12 26,320 70,560 ระดับน้ำสูง 0.20-0.80 เมตร
6 ลพบุรี 8 1 8,552 28,160 ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 เมตร
7 สระบุรี 12 1 2,566 7,420 ระดับน้ำสูง 0.25-0.60 เมตร
8 สุพรรณบุรี 10 3 39,661 141,195 ระดับน้ำสูง 0.50-1.60 เมตร
9 ปทุมธานี 7 5 36,250 92,720 ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 เมตร
10 นนทบุรี 6 6 67,832 194,442 ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 เมตร
11 นครปฐม 7 4 15,500 26,500 ระดับน้ำสูง 0.50-0.70 เมตร
12 กรุงเทพมหานคร 50 เขต 11 เขต 7,970 27,740 ระดับน้ำสูง 0.05-1.00 เมตร
รวม 12 จังหวัด 100 อำเภอ 49 อำเภอ 11 เขต 294,427 858,533
4 กิ่งฯ 50 เขต
3. สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันใน 12 จังหวัด แยกได้ ดังนี้
3.1) จังหวัดพิจิตร ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสามง่าม (1 ตำบล) โพธิ์ประทับช้าง (4 ตำบล) และอำเภอโพทะเล (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม. ระดับน้ำลดลง
3.2) จังหวัดนครสวรรค์ ยังคงมีน้ำท่วมขัง 5 อำเภอ ในพื้นที่ลุ่มบางพื้นที่ของอำเภอชุมแสง (4 ตำบล) อำเภอเมืองฯ (5ตำบล) อำเภอโกรกพระ (5 ตำบล) อำเภอพยุหะคีรี (4 ตำบล) และอำเภอท่าตะโก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.30 ม.ระดับน้ำลดลง
3.3) จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรของอำเภอเมืองฯ (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 ม. ระดับน้ำลดลง
3.4) จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรของอำเภอดอนพุด (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.25-0.60 ม. ระดับน้ำลดลง
3.5) จังหวัดสิงห์บุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพรหมบุรี (1 ตำบล) อำเภอบางระจัน (ตำบลสิงห์) และอำเภอค่ายบางระจัน (1 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม.
3.6) จังหวัดอ่างทอง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (3 ตำบล) อำเภอป่าโมก (8 ตำบล) อำเภอไชโย (9 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.95 ม. ส่วนที่ อำเภอแสวงหา อำเภอโพธิ์ทอง (3 ตำบล) และอำเภอวิเศษชัยชาญ (15 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.25-0.70 ม. ระดับน้ำลดลง
3.7) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 12 อำเภอ 2 เทศบาล ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา (14 ตำบล) อำเภอบางบาล (16 ตำบล) อำเภอบางไทร (23 ตำบล) อำเภอผักไห่ (16 ตำบล) อำเภอเสนา (15 ตำบล) อำเภอมหาราช (12 ตำบล) อำเภอบางปะหัน (16 ตำบล) อำเภอบางปะอิน (11 ตำบล) อำเภอบ้านแพรก (5 ตำบล) อำเภอลาดบัวหลวง (6 ตำบล) อำเภอวังน้อย (3 ตำบล) อำเภอบางซ้าย (6 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.80 ม. ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.8) จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.50 ม. อำเภอบางปลาม้า (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.60-1.30 ม. และอำเภอสองพี่น้อง (14 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.80-1.60 ม. ระดับน้ำลดลง
3.9) จังหวัดนครปฐม น้ำที่ระบายจากคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองบางเลน ไหลเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเลน (15 ตำบล) เทศบาลตำบลบางหลวง เทศบาลตำบลลำพญา เทศบาลตำบลบางภาษี และเทศบาลตำบลบางเลน ระดับน้ำสูง 0.80-1.50 ม. อำเภอนครชัยศรี (14 ตำบล) เทศบาลตำบลนครชัยศรี (ชุมชนริมคลองบางแก้ว ชุมชนคลองเจดีย์บูชา) ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. อำเภอพุทธมณฑล (4 ตำบล) น้ำท่วมชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ ริมคลองโยง และริมคลองทวีวัฒนา และอำเภอกำแพงแสน (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.50-0.70 ม. เนื่องจากน้ำในแม่น้ำท่าจีนระบายลงทะเลได้ช้า
3.10) จังหวัดปทุมธานี ในพื้นที่ 5 อำเภอ 1 เทศบาล ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอสามโคก และอำเภอลาดหลุมแก้ว (2 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.40-0.50 ม. เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับอำเภอคลองหลวง อำเภอลำลูกกา และเทศบาลเมืองท่าโขลง ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรที่ติดกับริมคลองและพื้นที่การเกษตรบางส่วน ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 ม. ระดับน้ำลดลง
3.11) จังหวัดนนทบุรี น้ำยังท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรใน 6 อำเภอ โดยในเขตอำเภอปากเกร็ดและอำเภอเมืองฯ ยังมีน้ำท่วมขังในที่ลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากยังอยู่ในช่วงน้ำทะเลหนุน ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมล ยังมีพื้นที่น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอไทรน้อย อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ และอำเภอบางกรวย (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 ม. ระดับน้ำทรงตัว
3.12) กรุงเทพมหานคร สถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ฝั่งตะวันออกเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ยกเว้น พื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ จะมีน้ำท่วมในช่วงที่มีน้ำทะเลหนุน โดยกรุงเทพมหานคร และทุกหน่วยงานยังคงปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง
4. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 20 พ.ย.49) โดยกรมชลประทาน
- เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 13,294 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 168 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด มีการระบาย 10.05 ล้าน ลบ.ม.
- เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 9,443 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 67 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด มีการระบาย 7.86 ล้าน ลบ.ม.
- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 927 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 33 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น ร้อยละ 97 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด มีการระบาย 0.88 ล้าน ลบ.ม.
5. ปริมาณน้ำเจ้าพระยาที่ทำให้เกิดอุทกภัยเปรียบเทียบปี 2538, 2545 และ 2549
ที่ ปริมาณน้ำไหลผ่าน ปี 2538 ปี 2545 ปี 2549 หมายเหตุ
ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที
(20 พ.ย. 49)
1 นครสวรรค์ 4,820 3,886 1,524 จังหวัดนครสวรรค์สูงสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม
2 เขื่อนเจ้าพระยา 4,557 3,930 1,380 2549 5,960 ลบ.ม./วินาที และลดลงอย่าง
(5 ต.ค. 2538) (10 ต.ค. 2545) (20 พ.ย. 2549) ต่อเนื่อง
3 เขื่อนพระรามหก 1,473 1,216 หยุดการระบาย
4 อำเภอบางไทร 5,451 4,288 2,412
6. สภาพน้ำท่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแนวโน้มสถานการณ์น้ำ (ข้อมูลวันที่ 20 พ.ย. 2549 โดยกรมชลประทาน)
- ปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 1,524 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้ม ลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท 1,380 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2,412 ลบ.ม./วินาที (เขื่อนพระรามหกปิดการระบายน้ำ)
ปัจจุบันสถานการณ์น้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ ถึง พระนครศรีอยุธยา ได้เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ส่วนจังหวัดปทุมธานีลงไปถึงสมุทรปราการยังมีผลกระทบในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปอีกจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน 2549 เนื่องจากในช่วงวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2549 เป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง แต่ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะไม่สูงมากนักเท่ากับในช่วงวันที่8-10 พฤศจิกายน 2549 ที่ผ่านมา สำหรับระดับน้ำในทุ่งเจ้าเจ็ด ทุ่งพระยาบรรลือ และทุ่งพระพิมล ระดับน้ำลดลงอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง คาดว่าในพื้นที่ชุมชน และเส้นทางคมนาคม จะเข้าสู่สภาวะปกติในปลายเดือนพฤศจิกายน 2549
7. การบริหารจัดการน้ำหลากในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
7.1) เร่งระบายน้ำออกจากทุ่งฝั่งตะวันตก ให้มีความสอดคล้องกับสภาวะน้ำขึ้นลง ใช้จังหวะกลไกการระบายน้ำตามวิถีธรรมชาติ คือ “น้ำขึ้น” ปิดประตูระบายน้ำ (ปตร.) “น้ำลง” เปิดประตูระบายน้ำให้ระบายน้ำออกเร็วที่สุดเป็นปริมาณมากที่สุด สำหรับการระบายน้ำตามประตูระบายน้ำต่างๆ ตามช่วงเวลาการขึ้นลงของน้ำทะเลทั้งในฝั่งแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยา และพิจารณาติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ เพื่อผลักดันน้ำจากฝั่งแม่น้ำท่าจีน ซึ่งสามารถระบายน้ำลงสู่ทะเลได้น้อย ให้ไประบายออกจากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งจะสามารถระบายน้ำดีกว่าผ่านคลองสายหลัก ได้แก่ คลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน คลองพระยาบันลือ และคลองพระพิมล
7.2) กรมชลประทานได้ร่วมกับทหารช่างค่ายบุรฉัตร จังหวัดราชบุรี เพิ่มการระบายน้ำในทุ่งฝั่งตะวันตก ดังนี้
1) ขุดเปิดช่องระบายน้ำพร้อมติดตั้งสะพานเหล็ก (แบรี่) ที่บนคันกั้นน้ำสายริมแม่น้ำเจ้าพระยา สาย เสนา-บางไทร ระหว่าง กิโลเมตรที่ 1+000 ถึงกิโลเมตรที่ 1+080 จำนวน 3 แห่ง ขนาด กว้าง 6 เมตร ยาว 7 เมตร ลึก 2.50 เมตร เพื่อระบายน้ำในทุ่งเจ้าเจ็ด ลงแม่น้ำเจ้าพระยา ระบายน้ำได้รวม ประมาณ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549
2) ขุดเปิดช่องระบายน้ำ พร้อมติดตั้งสะพานเหล็ก (แบรี่) บริเวณคลองบางปลากด จำนวน 1 แห่ง เพื่อระบายน้ำในทุ่งพระยาบรรลือลงแม่น้ำท่าจีน ระบายน้ำได้ประมาณ 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549
3) ขุดเปิดช่องระบายน้ำ บริเวณคลองบางภาษี จำนวน 1 แห่ง เพื่อระบายน้ำในทุ่งพระพิมลลงแม่น้ำท่าจีน ระบายน้ำได้ประมาณ 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2549
4) ขุดเปิดช่องระบายน้ำ พร้อมติดตั้งสะพานเหล็ก (แบรี่) บริเวณคลองคุ้งน้ำวน จำนวน 1 แห่ง เพื่อระบายน้ำในทุ่งพระยาบรรลือลงแม่น้ำท่าจีน ระบายน้ำได้ประมาณ 0.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549
8. การให้ความช่วยเหลือในช่วงเกิดอุทกภัยของกรมชลประทาน
8.1) ปัจจุบันได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือในฤดูฝนปี 2549 ทั่วประเทศ จำนวน 855 เครื่อง แยกเป็นเพื่อการเกษตร 393 เครื่อง การอุปโภค-บริโภค 14 เครื่อง และเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัยในฤดูฝน2549 ทั่วประเทศแล้ว จำนวน 448 เครื่อง ส่งเครื่องผลักดันน้ำทั่วประเทศ จำนวน 40 เครื่อง โดยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือ จำนวน 241 เครื่อง แยกเป็นฝั่งตะวันตก 173 เครื่อง ฝั่งตะวันออก 68 เครื่อง (นนทบุรี 99 เครื่อง , ปทุมธานี 70 เครื่อง , สมุทรสาคร 3 เครื่อง., กรุงเทพ 3 เครื่อง, นครปฐม 57 เครื่อง , พระนครศรีอยุธยา 9 เครื่อง ) และส่งเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 32 เครื่อง แยกเป็น ฝั่งตะวันออก 5 เครื่อง ฝั่งตะวันตก 27 เครื่อง (กรุงเทพฯ 14 เครื่อง สมุทรปราการ 5 เครื่อง สมุทรสาคร 6 เครื่อง นครปฐม 4 เครื่อง พระนครศรีอยุธยา 2 เครื่อง นอกจากนี้ได้เตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลืออุทกภัยในภาคใต้ จำนวน 87 เครื่อง)
8.2) ได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาอุทกภัย ณ ที่ว่าการอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ 02 922 4381, 02 597 1178 ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.49 เป็นต้นไป เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาการระบายน้ำในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร
9. การให้ความช่วยเหลือแก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังนี้
9.1) ได้ระดมกำลัง เครื่องจักรกล 228 คัน/เครื่อง เรือท้องแบน 191 ลำ รถผลิตน้ำดื่ม 2 คัน เต็นท์ยกพื้นพักอาศัยชั่วคราว 555 หลัง (อ่างทอง 177 หลัง พระนครศรีอยุธยา 88 หลัง สุโขทัย 20 หลัง นครสวรรค์ 50 หลัง อุตรดิตถ์ 124 หลัง น่าน 39 หลัง ชัยนาท 35 หลัง และ สิงห์บุรี 22 หลัง) พร้อมเจ้าหน้าที่ 642 คน และสนับสนุนถุงยังชีพ 80,359 ชุด ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
9.2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 199 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 5,285,000 บาท (คงเหลือ 89 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ) ทั้งนี้จังหวัดที่ประสบภัยได้ใช้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว 365.272 ล้านบาท
9.3) จัดส่งถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าขาวม้า ผ้าถุง รองเท้ายาง ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย คิดเป็นมูลค่า 41,649,800 บาท
10. สิ่งของพระราชทาน (ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤศจิกายน 2549)
10.1) มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ศาลาการเปรียญวัดใหม่นพรัตน์ ตำบลเนินพระปรางค์ อำเภอสองพี่น้อง จำนวน 1,100 ชุด ที่ศาลาการเปรียญวัดสาลี หมู่ที่ 2 และหมู่ 3 ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จำนวน 2,000 ชุด ที่วัดโคกโพธิ์ อบต.กฤษณา จำนวน 500 ชุด และที่วัดกลาง อบต.โคกคราม (หน้าโรงพยาบาลบางปลาม้า) จำนวน 1,000 ชุด
- เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดนครปฐม ที่วัดบางไผ่นารถ ตำบลบางไทรป่า อำเภอบางเลน จำนวน 2,000 ครอบครัว และที่ว่าการอำเภอนครชัยศรี อำนครชัยศรี จำนวน 2,000 ครอบครัว
10.2) สภากาชาดไทย นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยระหว่างวันที่ 14 -20 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จำนวน 1,200 ชุด
- เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จำนวน 1,500 ชุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 21 พฤศจิกายน 2549--จบ--
1. สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม — 20 พฤศจิกายน 2549)
1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 439 อำเภอ 40 กิ่งอำเภอ 16 เขต 2,650 ตำบล 16,093 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,315,438 คน 1,225,625 ครัวเรือน
1.2 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 290 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 60 คน อ่างทอง 31 คน พิจิตร 30 คน สิงห์บุรี 21 คน นครสวรรค์ 21 คน สุพรรณบุรี 17 คน สุโขทัย 14 คน พิษณุโลก 12 คน ปราจีนบุรี 12 คน ชัยภูมิ 10 คน ชัยนาท 10 คน ยโสธร 9 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 6 คน ลพบุรี 4 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน จันทบุรี 3 คน ร้อยเอ็ด 3 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน ศรีสะเกษ 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน พังงา 1 คน และนครปฐม 1 คน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 12,957 หลัง ถนน 7,405 สาย สะพาน 490 แห่ง ท่อระบายน้ำ 428 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 561 แห่ง พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 6,046,111 ไร่ (ข้อมูลจากการบูรณาการระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) บ่อปลา/กุ้ง 46,248 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,331 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 6,433,461,892 บาท (ไม่รวมทรัพย์สินและบ้านเรือนของประชาชน)
2. สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2549)
2.1 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 35 จังหวัด
2.2 ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร ใน 49 อำเภอ 11 เขต (คิดเป็นร้อยละ 38.96 ของอำเภอ/กิ่งอำเภอและเขตทั้งหมดใน 12 จังหวัดที่ยังประสบอุทกภัย) 482 ตำบล 3,650 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 858,533 คน 294,427 ครัวเรือน แยกเป็น
ที่ จังหวัด จำนวนอำเภอ/ จำนวนอำเภอ/ จำนวนราษฎรที่ยัง หมายเหตุ
กิ่งฯทั้งหมด กิ่งฯที่ยังมี เดือดร้อน
สถานการณ์อุทกภัย ครัวเรือน คน
1 พิจิตร 11/2 3 18,500 65,460 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
2 นครสวรรค์ 10/2 5 30,650 72,116 ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 เมตร
3 สิงห์บุรี 6 3 15,460 56,760 ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 เมตร
4 อ่างทอง 7 6 25,166 75,460 ระดับน้ำสูง 0.25-0.70 เมตร
5 พระนครศรีอยุธยา 16 12 26,320 70,560 ระดับน้ำสูง 0.20-0.80 เมตร
6 ลพบุรี 8 1 8,552 28,160 ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 เมตร
7 สระบุรี 12 1 2,566 7,420 ระดับน้ำสูง 0.25-0.60 เมตร
8 สุพรรณบุรี 10 3 39,661 141,195 ระดับน้ำสูง 0.50-1.60 เมตร
9 ปทุมธานี 7 5 36,250 92,720 ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 เมตร
10 นนทบุรี 6 6 67,832 194,442 ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 เมตร
11 นครปฐม 7 4 15,500 26,500 ระดับน้ำสูง 0.50-0.70 เมตร
12 กรุงเทพมหานคร 50 เขต 11 เขต 7,970 27,740 ระดับน้ำสูง 0.05-1.00 เมตร
รวม 12 จังหวัด 100 อำเภอ 49 อำเภอ 11 เขต 294,427 858,533
4 กิ่งฯ 50 เขต
3. สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันใน 12 จังหวัด แยกได้ ดังนี้
3.1) จังหวัดพิจิตร ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอสามง่าม (1 ตำบล) โพธิ์ประทับช้าง (4 ตำบล) และอำเภอโพทะเล (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม. ระดับน้ำลดลง
3.2) จังหวัดนครสวรรค์ ยังคงมีน้ำท่วมขัง 5 อำเภอ ในพื้นที่ลุ่มบางพื้นที่ของอำเภอชุมแสง (4 ตำบล) อำเภอเมืองฯ (5ตำบล) อำเภอโกรกพระ (5 ตำบล) อำเภอพยุหะคีรี (4 ตำบล) และอำเภอท่าตะโก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.30 ม.ระดับน้ำลดลง
3.3) จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรของอำเภอเมืองฯ (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 ม. ระดับน้ำลดลง
3.4) จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรของอำเภอดอนพุด (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.25-0.60 ม. ระดับน้ำลดลง
3.5) จังหวัดสิงห์บุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพรหมบุรี (1 ตำบล) อำเภอบางระจัน (ตำบลสิงห์) และอำเภอค่ายบางระจัน (1 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม.
3.6) จังหวัดอ่างทอง ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (3 ตำบล) อำเภอป่าโมก (8 ตำบล) อำเภอไชโย (9 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.95 ม. ส่วนที่ อำเภอแสวงหา อำเภอโพธิ์ทอง (3 ตำบล) และอำเภอวิเศษชัยชาญ (15 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.25-0.70 ม. ระดับน้ำลดลง
3.7) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 12 อำเภอ 2 เทศบาล ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา (14 ตำบล) อำเภอบางบาล (16 ตำบล) อำเภอบางไทร (23 ตำบล) อำเภอผักไห่ (16 ตำบล) อำเภอเสนา (15 ตำบล) อำเภอมหาราช (12 ตำบล) อำเภอบางปะหัน (16 ตำบล) อำเภอบางปะอิน (11 ตำบล) อำเภอบ้านแพรก (5 ตำบล) อำเภอลาดบัวหลวง (6 ตำบล) อำเภอวังน้อย (3 ตำบล) อำเภอบางซ้าย (6 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.80 ม. ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.8) จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.50 ม. อำเภอบางปลาม้า (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.60-1.30 ม. และอำเภอสองพี่น้อง (14 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.80-1.60 ม. ระดับน้ำลดลง
3.9) จังหวัดนครปฐม น้ำที่ระบายจากคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองบางเลน ไหลเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเลน (15 ตำบล) เทศบาลตำบลบางหลวง เทศบาลตำบลลำพญา เทศบาลตำบลบางภาษี และเทศบาลตำบลบางเลน ระดับน้ำสูง 0.80-1.50 ม. อำเภอนครชัยศรี (14 ตำบล) เทศบาลตำบลนครชัยศรี (ชุมชนริมคลองบางแก้ว ชุมชนคลองเจดีย์บูชา) ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. อำเภอพุทธมณฑล (4 ตำบล) น้ำท่วมชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ ริมคลองโยง และริมคลองทวีวัฒนา และอำเภอกำแพงแสน (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.50-0.70 ม. เนื่องจากน้ำในแม่น้ำท่าจีนระบายลงทะเลได้ช้า
3.10) จังหวัดปทุมธานี ในพื้นที่ 5 อำเภอ 1 เทศบาล ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอสามโคก และอำเภอลาดหลุมแก้ว (2 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.40-0.50 ม. เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับอำเภอคลองหลวง อำเภอลำลูกกา และเทศบาลเมืองท่าโขลง ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรที่ติดกับริมคลองและพื้นที่การเกษตรบางส่วน ระดับน้ำสูง 0.10-0.20 ม. ระดับน้ำลดลง
3.11) จังหวัดนนทบุรี น้ำยังท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรใน 6 อำเภอ โดยในเขตอำเภอปากเกร็ดและอำเภอเมืองฯ ยังมีน้ำท่วมขังในที่ลุ่มริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากยังอยู่ในช่วงน้ำทะเลหนุน ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมล ยังมีพื้นที่น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอไทรน้อย อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ และอำเภอบางกรวย (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 ม. ระดับน้ำทรงตัว
3.12) กรุงเทพมหานคร สถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ฝั่งตะวันออกเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ยกเว้น พื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ จะมีน้ำท่วมในช่วงที่มีน้ำทะเลหนุน โดยกรุงเทพมหานคร และทุกหน่วยงานยังคงปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง
4. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 20 พ.ย.49) โดยกรมชลประทาน
- เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 13,294 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 168 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด มีการระบาย 10.05 ล้าน ลบ.ม.
- เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 9,443 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 67 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด มีการระบาย 7.86 ล้าน ลบ.ม.
- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 927 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 33 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น ร้อยละ 97 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด มีการระบาย 0.88 ล้าน ลบ.ม.
5. ปริมาณน้ำเจ้าพระยาที่ทำให้เกิดอุทกภัยเปรียบเทียบปี 2538, 2545 และ 2549
ที่ ปริมาณน้ำไหลผ่าน ปี 2538 ปี 2545 ปี 2549 หมายเหตุ
ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วาที
(20 พ.ย. 49)
1 นครสวรรค์ 4,820 3,886 1,524 จังหวัดนครสวรรค์สูงสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม
2 เขื่อนเจ้าพระยา 4,557 3,930 1,380 2549 5,960 ลบ.ม./วินาที และลดลงอย่าง
(5 ต.ค. 2538) (10 ต.ค. 2545) (20 พ.ย. 2549) ต่อเนื่อง
3 เขื่อนพระรามหก 1,473 1,216 หยุดการระบาย
4 อำเภอบางไทร 5,451 4,288 2,412
6. สภาพน้ำท่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแนวโน้มสถานการณ์น้ำ (ข้อมูลวันที่ 20 พ.ย. 2549 โดยกรมชลประทาน)
- ปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 1,524 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้ม ลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท 1,380 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2,412 ลบ.ม./วินาที (เขื่อนพระรามหกปิดการระบายน้ำ)
ปัจจุบันสถานการณ์น้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ ถึง พระนครศรีอยุธยา ได้เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ส่วนจังหวัดปทุมธานีลงไปถึงสมุทรปราการยังมีผลกระทบในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาไปอีกจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน 2549 เนื่องจากในช่วงวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2549 เป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง แต่ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะไม่สูงมากนักเท่ากับในช่วงวันที่8-10 พฤศจิกายน 2549 ที่ผ่านมา สำหรับระดับน้ำในทุ่งเจ้าเจ็ด ทุ่งพระยาบรรลือ และทุ่งพระพิมล ระดับน้ำลดลงอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง คาดว่าในพื้นที่ชุมชน และเส้นทางคมนาคม จะเข้าสู่สภาวะปกติในปลายเดือนพฤศจิกายน 2549
7. การบริหารจัดการน้ำหลากในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
7.1) เร่งระบายน้ำออกจากทุ่งฝั่งตะวันตก ให้มีความสอดคล้องกับสภาวะน้ำขึ้นลง ใช้จังหวะกลไกการระบายน้ำตามวิถีธรรมชาติ คือ “น้ำขึ้น” ปิดประตูระบายน้ำ (ปตร.) “น้ำลง” เปิดประตูระบายน้ำให้ระบายน้ำออกเร็วที่สุดเป็นปริมาณมากที่สุด สำหรับการระบายน้ำตามประตูระบายน้ำต่างๆ ตามช่วงเวลาการขึ้นลงของน้ำทะเลทั้งในฝั่งแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำเจ้าพระยา และพิจารณาติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ เพื่อผลักดันน้ำจากฝั่งแม่น้ำท่าจีน ซึ่งสามารถระบายน้ำลงสู่ทะเลได้น้อย ให้ไประบายออกจากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งจะสามารถระบายน้ำดีกว่าผ่านคลองสายหลัก ได้แก่ คลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หน คลองพระยาบันลือ และคลองพระพิมล
7.2) กรมชลประทานได้ร่วมกับทหารช่างค่ายบุรฉัตร จังหวัดราชบุรี เพิ่มการระบายน้ำในทุ่งฝั่งตะวันตก ดังนี้
1) ขุดเปิดช่องระบายน้ำพร้อมติดตั้งสะพานเหล็ก (แบรี่) ที่บนคันกั้นน้ำสายริมแม่น้ำเจ้าพระยา สาย เสนา-บางไทร ระหว่าง กิโลเมตรที่ 1+000 ถึงกิโลเมตรที่ 1+080 จำนวน 3 แห่ง ขนาด กว้าง 6 เมตร ยาว 7 เมตร ลึก 2.50 เมตร เพื่อระบายน้ำในทุ่งเจ้าเจ็ด ลงแม่น้ำเจ้าพระยา ระบายน้ำได้รวม ประมาณ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549
2) ขุดเปิดช่องระบายน้ำ พร้อมติดตั้งสะพานเหล็ก (แบรี่) บริเวณคลองบางปลากด จำนวน 1 แห่ง เพื่อระบายน้ำในทุ่งพระยาบรรลือลงแม่น้ำท่าจีน ระบายน้ำได้ประมาณ 1 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549
3) ขุดเปิดช่องระบายน้ำ บริเวณคลองบางภาษี จำนวน 1 แห่ง เพื่อระบายน้ำในทุ่งพระพิมลลงแม่น้ำท่าจีน ระบายน้ำได้ประมาณ 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2549
4) ขุดเปิดช่องระบายน้ำ พร้อมติดตั้งสะพานเหล็ก (แบรี่) บริเวณคลองคุ้งน้ำวน จำนวน 1 แห่ง เพื่อระบายน้ำในทุ่งพระยาบรรลือลงแม่น้ำท่าจีน ระบายน้ำได้ประมาณ 0.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ดำเนินการแล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549
8. การให้ความช่วยเหลือในช่วงเกิดอุทกภัยของกรมชลประทาน
8.1) ปัจจุบันได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือในฤดูฝนปี 2549 ทั่วประเทศ จำนวน 855 เครื่อง แยกเป็นเพื่อการเกษตร 393 เครื่อง การอุปโภค-บริโภค 14 เครื่อง และเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัยในฤดูฝน2549 ทั่วประเทศแล้ว จำนวน 448 เครื่อง ส่งเครื่องผลักดันน้ำทั่วประเทศ จำนวน 40 เครื่อง โดยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือ จำนวน 241 เครื่อง แยกเป็นฝั่งตะวันตก 173 เครื่อง ฝั่งตะวันออก 68 เครื่อง (นนทบุรี 99 เครื่อง , ปทุมธานี 70 เครื่อง , สมุทรสาคร 3 เครื่อง., กรุงเทพ 3 เครื่อง, นครปฐม 57 เครื่อง , พระนครศรีอยุธยา 9 เครื่อง ) และส่งเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 32 เครื่อง แยกเป็น ฝั่งตะวันออก 5 เครื่อง ฝั่งตะวันตก 27 เครื่อง (กรุงเทพฯ 14 เครื่อง สมุทรปราการ 5 เครื่อง สมุทรสาคร 6 เครื่อง นครปฐม 4 เครื่อง พระนครศรีอยุธยา 2 เครื่อง นอกจากนี้ได้เตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลืออุทกภัยในภาคใต้ จำนวน 87 เครื่อง)
8.2) ได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาอุทกภัย ณ ที่ว่าการอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ 02 922 4381, 02 597 1178 ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.49 เป็นต้นไป เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาการระบายน้ำในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร
9. การให้ความช่วยเหลือแก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังนี้
9.1) ได้ระดมกำลัง เครื่องจักรกล 228 คัน/เครื่อง เรือท้องแบน 191 ลำ รถผลิตน้ำดื่ม 2 คัน เต็นท์ยกพื้นพักอาศัยชั่วคราว 555 หลัง (อ่างทอง 177 หลัง พระนครศรีอยุธยา 88 หลัง สุโขทัย 20 หลัง นครสวรรค์ 50 หลัง อุตรดิตถ์ 124 หลัง น่าน 39 หลัง ชัยนาท 35 หลัง และ สิงห์บุรี 22 หลัง) พร้อมเจ้าหน้าที่ 642 คน และสนับสนุนถุงยังชีพ 80,359 ชุด ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
9.2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 199 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 5,285,000 บาท (คงเหลือ 89 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ) ทั้งนี้จังหวัดที่ประสบภัยได้ใช้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว 365.272 ล้านบาท
9.3) จัดส่งถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าขาวม้า ผ้าถุง รองเท้ายาง ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย คิดเป็นมูลค่า 41,649,800 บาท
10. สิ่งของพระราชทาน (ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤศจิกายน 2549)
10.1) มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 14 - 20 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ศาลาการเปรียญวัดใหม่นพรัตน์ ตำบลเนินพระปรางค์ อำเภอสองพี่น้อง จำนวน 1,100 ชุด ที่ศาลาการเปรียญวัดสาลี หมู่ที่ 2 และหมู่ 3 ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จำนวน 2,000 ชุด ที่วัดโคกโพธิ์ อบต.กฤษณา จำนวน 500 ชุด และที่วัดกลาง อบต.โคกคราม (หน้าโรงพยาบาลบางปลาม้า) จำนวน 1,000 ชุด
- เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดนครปฐม ที่วัดบางไผ่นารถ ตำบลบางไทรป่า อำเภอบางเลน จำนวน 2,000 ครอบครัว และที่ว่าการอำเภอนครชัยศรี อำนครชัยศรี จำนวน 2,000 ครอบครัว
10.2) สภากาชาดไทย นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยระหว่างวันที่ 14 -20 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จำนวน 1,200 ชุด
- เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จำนวน 1,500 ชุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 21 พฤศจิกายน 2549--จบ--