คณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัยภัยหนาวและคลื่นซัดชายฝั่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัย สถานการณ์ภัยหนาวและสถานการณ์คลื่นซัดชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวไทยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้น ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจนถึงปัจจุบัน สรุปสถานการณ์อุทกภัย สถานการณ์ภัยหนาวและสถานการณ์คลื่นซัดชายฝั่งดังกล่าว ดังนี้
1. สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม - 25 ธันวาคม 2549)
1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 442 อำเภอ 40 กิ่งอำเภอ 16 เขต 3,054 ตำบล 20,625 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 5,198,814 คน 1,430,085 ครัวเรือน
1.2 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 337 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 72 คน พิจิตร 33 คน อ่างทอง 31 คน นครสวรรค์ 28 คน สิงห์บุรี 24 คน สุพรรณบุรี 18 คน สุโขทัย 15 คน ชัยนาท 14 คน ปราจีนบุรี 12 คน พิษณุโลก 11 คน ชัยภูมิ 11 คน ยโสธร 10 คน จันทบุรี 8 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 7 คน ลพบุรี 6 คน นครปฐม 4 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน ร้อยเอ็ด 3 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน ศรีสะเกษ 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน พังงา 1 คน นครราชสีมา 1 คน อุตรดิตถ์ 1 คน อุดรธานี 1 คน และบุรีรัมย์ 1 คน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 856 หลัง เสียหายบางส่วน 48,755 หลัง ถนน 10,391 สาย สะพาน 671 แห่ง ท่อระบายน้ำ 1,085 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 778 แห่ง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 5,605,559 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 113,260 บ่อ กระชังปลา 12,433 กระชัง ปศุสัตว์ 142,211 ตัว วัด 743 แห่ง โรงเรียน 682 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ประมาณ 7,707,574,527 บาท
1.3 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 43 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 4 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และนนทบุรี ในจำนวน 7 อำเภอ แยกเป็น
1) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอลาดบัวหลวง และอำเภอบางซ้าย (ตำบลแก้วฟ้า) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นแอ่งกะทะ อำเภอร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออก ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม.
2) จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง ( ต.โคกโคเฒ่า) ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม. อำเภอบางปลาม้า (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.30 ม. และอำเภอสองพี่น้อง (5 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม. ระดับน้ำลดลง
3) จังหวัดนครปฐม ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มที่ติดกับริมแม่น้ำท่าจีน ริมคลองพระพิมล คลองพระยาบรรลือ คลองบางเลน คลองมหาสวัสดิ์ คลองโยงและคลองทวีวัฒนา อำเภอบางเลน ระดับน้ำสูง 0.40-0.50 ม.
4) จังหวัดนนทบุรี น้ำยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำจากทุ่งเจ้าเจ็ด ผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมล อำเภอไทรน้อย ระดับน้ำสูง 0.10 -0.20 ม. ระดับน้ำลดลง
ปัจจุบัน (วันที่ 25 ธันวาคม 2549) พื้นที่ทุ่งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังคงมีน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำทางการเกษตร ได้แก่ ทุ่งเจ้าเจ็ด ทุ่งพระยาบรรลือ และทุ่งพระพิมล กรมชลประทานได้เร่งระบายน้ำออกจากทุ่งลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน คาดว่าระดับน้ำจะเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2549
1.4 การสนับสนุนช่วยเหลือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
1) ได้ระดมกำลัง เครื่องจักรกล รถยนต์บรรทุกน้ำ พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมกับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ทำความสะอาดล้างถนน เก็บเศษขยะที่ตกค้างในบริเวณชุมชนที่ประสบอุทกภัยให้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว
2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 318 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 8,270,000 บาท (คงเหลือ 19 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ)
3) จังหวัดที่ประสบภัยได้ใช้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว 719,335,819 บาท
1.5 การจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยปี 2549
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทน์เสนะ) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) และผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับมูลนิธิสุขาวดี จังหวัดสระบุรี ได้จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยปี 2549 ณ วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเชิญญาติผู้เสียชีวิตเข้าร่วมในพิธี พร้อมกับมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือให้แก่ญาติอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นมูลนิธิฯ ได้มอบข้าวสารและน้ำดื่มบรรจุให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่มีฐานะยากจนอีกด้วย
2. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2549)
2.1 พื้นที่ประสบภัยหนาว จำนวน 36 จังหวัด 216 อำเภอ 28 กิ่งอำเภอ 1,495 ตำบล 16,109 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 1,554,399 คน 652,680 ครัวเรือน แยกเป็น
- ภาคเหนือ 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พะเยา เชียงใหม่ น่าน กำแพงเพชร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย และอุตรดิตถ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา มุกดาหาร บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ
- ภาคกลาง 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยนาท และสระบุรี
- ภาคตะวันออก 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และจันทบุรี
จังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว จำนวน 32 จังหวัด
2.2 การให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยหนาว
2.2.1 กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดหาเครื่องนุ่งห่มกันหนาวเพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปีงบประมาณ 2550 ไว้ดังนี้
1) โอนเงินงบประมาณไปตั้งจ่ายที่คลังจังหวัด เพื่อจัดซื้อเครื่องกันหนาวจากกลุ่มอาชีพ/กลุ่มแม่บ้านในจังหวัดตามหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 เรื่องการปรับปรุงแก้ไขและทบทวนการให้สิทธิพิเศษแก่กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ตำบล และจากแหล่งผลิตอื่นๆ ที่สามารถจัดส่งเครื่องกันหนาวให้ทันการแจกจ่ายในฤดูหนาวตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมจำนวน 54 จังหวัด ในวงเงินงบประมาณ 31,155,000 บาท
2) จัดส่งเครื่องกันหนาวไปให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 - 10 และจังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งเก็บสำรองไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัยหนาว ในวงเงินงบประมาณ 28,845,000 บาท
2.2.2 มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มอบเงินที่ได้รับบริจาคจากบริษัท คิง เพาเวอร์ แท๊กซ์ฟรี จำกัด ให้แก่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อนำไปจัดหาเครื่องกันหนาว 15,420 ผืน แจกจ่ายประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 16 อำเภอของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มอบผ้าห่มดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549
2.2.3 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ประสานขอรับการสนับสนุนผ้าห่มกันหนาวจาก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จำนวน 200,000 ผืน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท เพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว จำนวน 16 จังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาดจังหวัด มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ สภากาชาดไทย มูลนิธิ ภาคเอกชน และอื่นๆ ได้แจกจ่ายเครื่องกันหนาวให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัยหนาวไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 279,603 ชิ้น (แยกเป็น ผ้าห่มนวม 241,358 ผืน เสื้อกันหนาว 14,737 ตัว ผ้าห่มไหมพรม 17,725 ผืน และอื่นๆ 5,783 ชิ้น)
3. สถานการณ์คลื่นลมแรงและคลื่นซัดชายฝั่งจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
3.1 ระหว่างวันที่ 18-25 ธันวาคม 2549 ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย ทำให้มีคลื่นลมแรง และเกิดคลื่นซัดชายฝั่งตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ส่งผล ให้บ้านเรือนราษฎรบริเวณชายฝั่งทะเล และเขื่อนกันดิน ได้รับความเสียหายหลายพื้นที่ ดังนี้
3.2 พื้นที่ประสบภัย จำนวน 5 จังหวัด 16 อำเภอ 41 ตำบล ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 19,155 คน 5,491 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และนราธิวาส
3.3 ความเสียหาย บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 16 หลัง เสียหายบางส่วน 45 หลัง ร้านอาหาร 2 หลัง เพิงพักอาศัยชั่วคราวของชาวประมง 15 หลัง ร้านค้าริมหาด 20 หลัง ถนน 9 สาย สะพาน 3 แห่ง เขื่อนกั้นน้ำ 3 แห่ง มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ
3.4 สถานการณ์รายจังหวัด แยกเป็น
1) จังหวัดชุมพร พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอหลังสวน พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลบางมะพร้าว (หมู่ที่ 10,12,14) และตำบลปากน้ำหลังสวน (หมู่ที่ 1,4) บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2 หลัง เสียหายบางส่วน 9 หลัง เขื่อน คันกั้นน้ำเสียหาย 2 แห่ง
- อำเภอเมืองฯ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่ายาง (หมู่ที่ 2,3,8,11) ตำบลหาดทรายรี (หมู่ที่ 6,7) และตำบลนาทุ่ง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 11 หลัง ถนน 2 สาย และเขื่อนกั้นน้ำริมหาดทรายรี 1 แห่ง
- อำเภอปะทิว พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลชุมโค (หมู่ที่ 6) และตำบลสะพลี (หมู่ที่ 5) บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2 หลัง เสียหายบางส่วน 4 หลัง ร้านอาหาร 2 แห่ง
2) จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 6 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอดอนสัก พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลชลคราม (หมู่ที่ 1) และตำบลดอนสัก (หมู่ที่ 3,5,6,7,8,10,11) บ้านพักอาศัยเสียหายบางส่วน 20 หลัง คอสะพานเสียหาย 1 แห่ง ถนนหินผุเลียบชายฝั่งเสียหาย 1 สาย ระยะทางประมาณ 700 ม. สะพานไม้ 1 แห่ง ราษฎรเดือดร้อน 604 ราย 151 ครัวเรือน
- อำเภอท่าชนะ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าชนะ (หมู่ที่ 1,5,7,8) ตำบลวัง (หมู่ที่ 3,4) และตำบลคันธุลี (หมู่ที่ 1,2,6,11) เพิงพักอาศัยชั่วคราวของชาวประมงเสียหาย 15 หลัง อาคารเรียนและโรงอาหารของโรงเรียนบ้านท่ากระจายเสียหาย 1 แห่ง ถนนเลียบชายฝั่ง 2 สาย ราษฎรเดือดร้อน 150 ราย 50 ครัวเรือน
- อำเภอเกาะพะงัน พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกาะพะงัน (หมู่ที่ 7,8) และตำบลเกาะเต่า (หมู่ที่ 1-3) ถนนเลียบชายฝั่งเสียหาย 2 สาย ราษฎรเดือดร้อน 700 ราย 130 ครัวเรือน
- อำเภอไชยา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ ตำบลพุมเรียง (หมู่ที่ 1-5) ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากคลื่นกัดเซาะชายหาด ระยะทางประมาณ 1 กม.
- อำเภอกาญจนดิษฐ์ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลพลายวาส (หมู่ที่ 6) และตำบลทองใหม่ (หมู่ที่ 3,4) สะพานทางเดินเท้าระยะทางประมาณ 20 เมตร บ่อปลา 13 บ่อ ราษฎรเดือดร้อน 151 ราย 51 ครัวเรือน
- อำเภอเกาะสมุย พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ่อผุด ตำบลแม่น้ำ ตำบลมะเร็ต ตำบลอ่างทอง และตำบลลิปะน้อย
3) จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอปากพนัง พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 6 ตำบล ได้แก่ ตำบลแหลมตะลุมพุก (หมู่ที่ 1-4) ตำบลขนาบนาก (หมู่ที่ 7,9,10) ตำบลท่าพญา (หมู่ที่ 2,5,7,9,10) ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก (หมู่ที่ 1-7) ตำบลคลองน้อย (หมู่ที่ 6,7,12,14) และตำบลปากพนังฝั่งตะวันตก (หมู่ที่ 2,4) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 14,440 ราย 3,610 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 6 หลัง
- อำเภอหัวไทร พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ ตำบลหน้าสตน (หมู่ที่ 7) น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 6 หลัง บางส่วน 1 หลัง
4) จังหวัดสงขลา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอระโนด พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 6 ตำบล ได้แก่ ตำบลคลองแดน (หมู่ที่ 1) ตำบลระวะ (หมู่ที่ 1-3) ตำบลท่าบอน (หมู่ที่ 1) ตำบลปากแตระ (หมู่ที่ 3-5) ตำบลบ่อตรุ (หมู่ที่ 1-3) และตำบลวัดสน (หมู่ที่ 1) ราษฎรเดือดร้อน 1,300 ครัวเรือน
- อำเภอจะนะ อาคารเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านนาทับ ตำบลนาทับ เสียหายจำนวน 5 ห้อง และถนนทางหลวงชนบท กม.ที่ 11+500 ถึง กม.ที่ 12+500 ได้รับความเสียหาย
- อำเภอเมืองฯ พื้นที่ตำบลเขารูปช้างมีคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง บ้านเรือนราษฎรไม่ได้รับผลกระทบ
5) จังหวัดนราธิวาส พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอตากใบ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลศาลาใหม่ (หมู่ที่ 5,8) ตำบลเจ๊ะเห (หมู่ที่ 2,7,8) และตำบลไพรวัน (หมู่ที่ 6,8,10) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 250 ครัวเรือน
- อำเภอเมืองฯ พื้นที่บริเวณหาดนราทัศน์ เทศบาลเมืองฯ ร้านค้าริมหาดเสียหายประมาณ 20 ร้าน ถนนเลียบชายหาดเสียหายประมาณ 200 เมตร
3.5 การดำเนินการของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
1) ได้แจ้งเตือนภัยให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11,12 จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันอาจเกิดจากสภาพอากาศฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม และคลื่นลมแรงในระหว่างวันที่ 15 - 25 ธันวาคม 2549
2) ให้จังหวัดที่ประสบภัยตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและเร่งให้ความช่วยเหลือแก่ราษฎรผู้ประสบภัยแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 26 ธันวาคม 2549--จบ--
กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัย สถานการณ์ภัยหนาวและสถานการณ์คลื่นซัดชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวไทยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้น ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจนถึงปัจจุบัน สรุปสถานการณ์อุทกภัย สถานการณ์ภัยหนาวและสถานการณ์คลื่นซัดชายฝั่งดังกล่าว ดังนี้
1. สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม - 25 ธันวาคม 2549)
1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 442 อำเภอ 40 กิ่งอำเภอ 16 เขต 3,054 ตำบล 20,625 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 5,198,814 คน 1,430,085 ครัวเรือน
1.2 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 337 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 72 คน พิจิตร 33 คน อ่างทอง 31 คน นครสวรรค์ 28 คน สิงห์บุรี 24 คน สุพรรณบุรี 18 คน สุโขทัย 15 คน ชัยนาท 14 คน ปราจีนบุรี 12 คน พิษณุโลก 11 คน ชัยภูมิ 11 คน ยโสธร 10 คน จันทบุรี 8 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 7 คน ลพบุรี 6 คน นครปฐม 4 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน ร้อยเอ็ด 3 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน ศรีสะเกษ 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน พังงา 1 คน นครราชสีมา 1 คน อุตรดิตถ์ 1 คน อุดรธานี 1 คน และบุรีรัมย์ 1 คน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 856 หลัง เสียหายบางส่วน 48,755 หลัง ถนน 10,391 สาย สะพาน 671 แห่ง ท่อระบายน้ำ 1,085 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 778 แห่ง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 5,605,559 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 113,260 บ่อ กระชังปลา 12,433 กระชัง ปศุสัตว์ 142,211 ตัว วัด 743 แห่ง โรงเรียน 682 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ประมาณ 7,707,574,527 บาท
1.3 พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 43 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 4 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และนนทบุรี ในจำนวน 7 อำเภอ แยกเป็น
1) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอลาดบัวหลวง และอำเภอบางซ้าย (ตำบลแก้วฟ้า) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นแอ่งกะทะ อำเภอร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออก ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม.
2) จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง ( ต.โคกโคเฒ่า) ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม. อำเภอบางปลาม้า (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.30 ม. และอำเภอสองพี่น้อง (5 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม. ระดับน้ำลดลง
3) จังหวัดนครปฐม ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มที่ติดกับริมแม่น้ำท่าจีน ริมคลองพระพิมล คลองพระยาบรรลือ คลองบางเลน คลองมหาสวัสดิ์ คลองโยงและคลองทวีวัฒนา อำเภอบางเลน ระดับน้ำสูง 0.40-0.50 ม.
4) จังหวัดนนทบุรี น้ำยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำจากทุ่งเจ้าเจ็ด ผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมล อำเภอไทรน้อย ระดับน้ำสูง 0.10 -0.20 ม. ระดับน้ำลดลง
ปัจจุบัน (วันที่ 25 ธันวาคม 2549) พื้นที่ทุ่งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาที่ยังคงมีน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำทางการเกษตร ได้แก่ ทุ่งเจ้าเจ็ด ทุ่งพระยาบรรลือ และทุ่งพระพิมล กรมชลประทานได้เร่งระบายน้ำออกจากทุ่งลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน คาดว่าระดับน้ำจะเข้าสู่สภาวะปกติในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2549
1.4 การสนับสนุนช่วยเหลือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
1) ได้ระดมกำลัง เครื่องจักรกล รถยนต์บรรทุกน้ำ พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมกับองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ทำความสะอาดล้างถนน เก็บเศษขยะที่ตกค้างในบริเวณชุมชนที่ประสบอุทกภัยให้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว
2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 318 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 8,270,000 บาท (คงเหลือ 19 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ)
3) จังหวัดที่ประสบภัยได้ใช้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว 719,335,819 บาท
1.5 การจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยปี 2549
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทน์เสนะ) อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) และผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับมูลนิธิสุขาวดี จังหวัดสระบุรี ได้จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยปี 2549 ณ วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเชิญญาติผู้เสียชีวิตเข้าร่วมในพิธี พร้อมกับมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือให้แก่ญาติอีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนั้นมูลนิธิฯ ได้มอบข้าวสารและน้ำดื่มบรรจุให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่มีฐานะยากจนอีกด้วย
2. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2549)
2.1 พื้นที่ประสบภัยหนาว จำนวน 36 จังหวัด 216 อำเภอ 28 กิ่งอำเภอ 1,495 ตำบล 16,109 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 1,554,399 คน 652,680 ครัวเรือน แยกเป็น
- ภาคเหนือ 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พะเยา เชียงใหม่ น่าน กำแพงเพชร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย และอุตรดิตถ์
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา มุกดาหาร บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี อุบลราชธานี และอำนาจเจริญ
- ภาคกลาง 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยนาท และสระบุรี
- ภาคตะวันออก 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และจันทบุรี
จังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว จำนวน 32 จังหวัด
2.2 การให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยหนาว
2.2.1 กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดหาเครื่องนุ่งห่มกันหนาวเพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวปีงบประมาณ 2550 ไว้ดังนี้
1) โอนเงินงบประมาณไปตั้งจ่ายที่คลังจังหวัด เพื่อจัดซื้อเครื่องกันหนาวจากกลุ่มอาชีพ/กลุ่มแม่บ้านในจังหวัดตามหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 เรื่องการปรับปรุงแก้ไขและทบทวนการให้สิทธิพิเศษแก่กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ตำบล และจากแหล่งผลิตอื่นๆ ที่สามารถจัดส่งเครื่องกันหนาวให้ทันการแจกจ่ายในฤดูหนาวตามความเหมาะสมและจำเป็น รวมจำนวน 54 จังหวัด ในวงเงินงบประมาณ 31,155,000 บาท
2) จัดส่งเครื่องกันหนาวไปให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 - 10 และจังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งเก็บสำรองไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัยหนาว ในวงเงินงบประมาณ 28,845,000 บาท
2.2.2 มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มอบเงินที่ได้รับบริจาคจากบริษัท คิง เพาเวอร์ แท๊กซ์ฟรี จำกัด ให้แก่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อนำไปจัดหาเครื่องกันหนาว 15,420 ผืน แจกจ่ายประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 16 อำเภอของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มอบผ้าห่มดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549
2.2.3 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ประสานขอรับการสนับสนุนผ้าห่มกันหนาวจาก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จำนวน 200,000 ผืน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท เพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาว จำนวน 16 จังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาดจังหวัด มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ สภากาชาดไทย มูลนิธิ ภาคเอกชน และอื่นๆ ได้แจกจ่ายเครื่องกันหนาวให้แก่ราษฎรผู้ประสบภัยหนาวไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 279,603 ชิ้น (แยกเป็น ผ้าห่มนวม 241,358 ผืน เสื้อกันหนาว 14,737 ตัว ผ้าห่มไหมพรม 17,725 ผืน และอื่นๆ 5,783 ชิ้น)
3. สถานการณ์คลื่นลมแรงและคลื่นซัดชายฝั่งจากอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
3.1 ระหว่างวันที่ 18-25 ธันวาคม 2549 ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย ทำให้มีคลื่นลมแรง และเกิดคลื่นซัดชายฝั่งตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ส่งผล ให้บ้านเรือนราษฎรบริเวณชายฝั่งทะเล และเขื่อนกันดิน ได้รับความเสียหายหลายพื้นที่ ดังนี้
3.2 พื้นที่ประสบภัย จำนวน 5 จังหวัด 16 อำเภอ 41 ตำบล ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 19,155 คน 5,491 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และนราธิวาส
3.3 ความเสียหาย บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 16 หลัง เสียหายบางส่วน 45 หลัง ร้านอาหาร 2 หลัง เพิงพักอาศัยชั่วคราวของชาวประมง 15 หลัง ร้านค้าริมหาด 20 หลัง ถนน 9 สาย สะพาน 3 แห่ง เขื่อนกั้นน้ำ 3 แห่ง มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ
3.4 สถานการณ์รายจังหวัด แยกเป็น
1) จังหวัดชุมพร พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอหลังสวน พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลบางมะพร้าว (หมู่ที่ 10,12,14) และตำบลปากน้ำหลังสวน (หมู่ที่ 1,4) บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2 หลัง เสียหายบางส่วน 9 หลัง เขื่อน คันกั้นน้ำเสียหาย 2 แห่ง
- อำเภอเมืองฯ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่ายาง (หมู่ที่ 2,3,8,11) ตำบลหาดทรายรี (หมู่ที่ 6,7) และตำบลนาทุ่ง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 11 หลัง ถนน 2 สาย และเขื่อนกั้นน้ำริมหาดทรายรี 1 แห่ง
- อำเภอปะทิว พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลชุมโค (หมู่ที่ 6) และตำบลสะพลี (หมู่ที่ 5) บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 2 หลัง เสียหายบางส่วน 4 หลัง ร้านอาหาร 2 แห่ง
2) จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 6 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอดอนสัก พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลชลคราม (หมู่ที่ 1) และตำบลดอนสัก (หมู่ที่ 3,5,6,7,8,10,11) บ้านพักอาศัยเสียหายบางส่วน 20 หลัง คอสะพานเสียหาย 1 แห่ง ถนนหินผุเลียบชายฝั่งเสียหาย 1 สาย ระยะทางประมาณ 700 ม. สะพานไม้ 1 แห่ง ราษฎรเดือดร้อน 604 ราย 151 ครัวเรือน
- อำเภอท่าชนะ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าชนะ (หมู่ที่ 1,5,7,8) ตำบลวัง (หมู่ที่ 3,4) และตำบลคันธุลี (หมู่ที่ 1,2,6,11) เพิงพักอาศัยชั่วคราวของชาวประมงเสียหาย 15 หลัง อาคารเรียนและโรงอาหารของโรงเรียนบ้านท่ากระจายเสียหาย 1 แห่ง ถนนเลียบชายฝั่ง 2 สาย ราษฎรเดือดร้อน 150 ราย 50 ครัวเรือน
- อำเภอเกาะพะงัน พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกาะพะงัน (หมู่ที่ 7,8) และตำบลเกาะเต่า (หมู่ที่ 1-3) ถนนเลียบชายฝั่งเสียหาย 2 สาย ราษฎรเดือดร้อน 700 ราย 130 ครัวเรือน
- อำเภอไชยา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ ตำบลพุมเรียง (หมู่ที่ 1-5) ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากคลื่นกัดเซาะชายหาด ระยะทางประมาณ 1 กม.
- อำเภอกาญจนดิษฐ์ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลพลายวาส (หมู่ที่ 6) และตำบลทองใหม่ (หมู่ที่ 3,4) สะพานทางเดินเท้าระยะทางประมาณ 20 เมตร บ่อปลา 13 บ่อ ราษฎรเดือดร้อน 151 ราย 51 ครัวเรือน
- อำเภอเกาะสมุย พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ่อผุด ตำบลแม่น้ำ ตำบลมะเร็ต ตำบลอ่างทอง และตำบลลิปะน้อย
3) จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอปากพนัง พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 6 ตำบล ได้แก่ ตำบลแหลมตะลุมพุก (หมู่ที่ 1-4) ตำบลขนาบนาก (หมู่ที่ 7,9,10) ตำบลท่าพญา (หมู่ที่ 2,5,7,9,10) ตำบลปากพนังฝั่งตะวันออก (หมู่ที่ 1-7) ตำบลคลองน้อย (หมู่ที่ 6,7,12,14) และตำบลปากพนังฝั่งตะวันตก (หมู่ที่ 2,4) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 14,440 ราย 3,610 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 6 หลัง
- อำเภอหัวไทร พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้แก่ ตำบลหน้าสตน (หมู่ที่ 7) น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 6 หลัง บางส่วน 1 หลัง
4) จังหวัดสงขลา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอระโนด พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 6 ตำบล ได้แก่ ตำบลคลองแดน (หมู่ที่ 1) ตำบลระวะ (หมู่ที่ 1-3) ตำบลท่าบอน (หมู่ที่ 1) ตำบลปากแตระ (หมู่ที่ 3-5) ตำบลบ่อตรุ (หมู่ที่ 1-3) และตำบลวัดสน (หมู่ที่ 1) ราษฎรเดือดร้อน 1,300 ครัวเรือน
- อำเภอจะนะ อาคารเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านนาทับ ตำบลนาทับ เสียหายจำนวน 5 ห้อง และถนนทางหลวงชนบท กม.ที่ 11+500 ถึง กม.ที่ 12+500 ได้รับความเสียหาย
- อำเภอเมืองฯ พื้นที่ตำบลเขารูปช้างมีคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง บ้านเรือนราษฎรไม่ได้รับผลกระทบ
5) จังหวัดนราธิวาส พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 2 อำเภอ ได้แก่
- อำเภอตากใบ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลศาลาใหม่ (หมู่ที่ 5,8) ตำบลเจ๊ะเห (หมู่ที่ 2,7,8) และตำบลไพรวัน (หมู่ที่ 6,8,10) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 250 ครัวเรือน
- อำเภอเมืองฯ พื้นที่บริเวณหาดนราทัศน์ เทศบาลเมืองฯ ร้านค้าริมหาดเสียหายประมาณ 20 ร้าน ถนนเลียบชายหาดเสียหายประมาณ 200 เมตร
3.5 การดำเนินการของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
1) ได้แจ้งเตือนภัยให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11,12 จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส เตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันอาจเกิดจากสภาพอากาศฝนตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม และคลื่นลมแรงในระหว่างวันที่ 15 - 25 ธันวาคม 2549
2) ให้จังหวัดที่ประสบภัยตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและเร่งให้ความช่วยเหลือแก่ราษฎรผู้ประสบภัยแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 26 ธันวาคม 2549--จบ--