คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ประสานการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกับจังหวัดและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2549 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือ 5 จังหวัด และสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย (ข้อมูลถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2549) ดังนี้
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2549)
1.1) ได้จัดสร้างเต็นท์ พักอาศัยชั่วคราวเสร็จแล้ว จำนวน 282 หลัง ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ดังนี้ (1) อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 127 หลัง (2) อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 38 หลัง (3) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 67 หลัง (4) ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 50 หลัง
1.2) ได้จัดสร้างบ้านพักชั่วคราว (บ้านน็อคดาวน์) ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากที่บ้านแม่คุ หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 24 หลัง
1.3) การเตรียมพื้นที่รองรับการสร้างบ้านพักถาวรใน 3 จังหวัด การก่อสร้างบ้านประกอบสำเร็จรูป (บ้านน็อคดาวน์) มูลนิธิไทยคมได้ดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมที่ดินจัดวางผังหมู่บ้าน/ชุมชนให้มีความเหมาะสมและมีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ดังนี้
(1) จังหวัดแพร่ ที่อำเภอสูงเม่น จำนวน 23 หลัง สำหรับอำเภอเมือง จำนวน 104 หลัง และอำเภอเด่นชัย จำนวน 8 หลัง โดยใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
(2) จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้จัดเตรียมที่ดินรองรับเบื้องต้นแล้ว ดังนี้ ในที่ดินที่ของนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน อ.ท่าปลา 2 แปลง ที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ อ.เมืองฯ (3 แปลง) และลับแล (2 แปลง) รวม 7 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,501 ไร่ โดยราษฎรประสงค์ให้จัดสร้างบ้านในที่ดินที่ราชการจัดให้ 216 หลัง สร้างในที่ดินตนเอง 268 หลัง
(3) จังหวัดสุโขทัย จำนวน 73 หลัง (อำเภอศรีสัชนาลัย) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ต. บ้านตึก
1.4) ความก้าวหน้าในการก่อสร้างบ้านถาวรของมูลนิธิไทยคม เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านน็อคดาวน์ ของมูลนิธิไทยคมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เฟสแรก รวม 62 หลัง ดังนี้
1) ที่บ้านน้ำพุ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านกวาง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ จำนวน 23 หลัง
2) ที่นิคมลำน้ำน่าน บ้านปากทับ หมู่ที่ 7 ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 20 หลัง
3) ที่บ้านห้วยกุ่มไทยคม หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 19 หลัง
1.5) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ก.ค. 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 90,251,389 บาท แยกได้ดังนี้
- ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย เป็นเงิน 1,920,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 25 ราย เป็นเงิน 750,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,045 ราย เป็นเงิน 2,196,000 บาท
- ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 4,976 ราย เป็นเงิน 51,635,921 บาท
- ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 30 ราย เป็นเงิน 265,800 บาท
- ค่าเครื่องนุงห่ม จำนวน 710 ราย เป็นเงิน 766,800 บาท
- ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 18,602,498 บาท
- ค่าอื่นๆ เป็นเงิน 14,114,370 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 16,487,090 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 6,497,970 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 113,236,449 บาท
การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2549 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น )
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 288 ราย เป็นเงิน 3,160,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 790 ราย เป็นเงิน 9,214,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 2,885 ราย เป็นเงิน 35,989,340 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,963 ราย เป็นเงิน 48,364,720 บาท
1.6) การติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนและไซเรนแบบมือหมุนในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มสูง (สีแดง)ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งให้จังหวัดภาคเหนือทุกจังหวัดตรวจสอบและจัดทำแผนการติดตั้งและปรับย้ายเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนและไซเรนแบบมือหมุนให้มีครบในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มสูง (สีแดง) ให้ครบถ้วนตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี กำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2549 ผลการดำเนินงาน สรุปได้ดังนี้
(1) ในพื้นที่ภาคเหนือมีพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มสูง (สีแดง) จำนวน 1,294 หมู่บ้าน ได้ทำการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนแล้ว จำนวน 363 เครื่อง และไซเรนแบบมือหมุน 109 เครื่องแล้ว ขณะนี้ยังมีหมู่บ้านซึ่งเสี่ยงภัยดินถล่มสูงที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน จำนวน 931 เครื่อง และไซเรนแบบมือหมุน จำนวน 1,185 เครื่อง
(2) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดทำเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนไว้แล้ว จำนวน 707 เครื่อง และขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกรมทรัพยากรธรณี จำนวน 224 เครื่อง สำหรับไซเรนแบบมือหมุนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดหาไว้แล้ว จำนวน 935 เครื่อง โดยจะดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2549 และจักได้จัดหาเพิ่มเติม จำนวน 250 เครื่อง ให้ครบถ้วนต่อไป
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างวันที่ 1 - 24 กรกฎาคม 2549)
ระหว่างวันที่ 1 - 24 กรกฎาคม 2549 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย เป็นเหตุให้มีฝนตกหนักมากตั้งแต่วันที่ 1 — 24 กรกฎาคม 2549 ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ่งสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก
2.1 พื้นที่ประสบอุทกภัย รวม 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี อุดรธานี นครพนม ตราด ตาก แม่ฮ่องสอน เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี รวม 47 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 147 ตำบล 444 หมู่บ้าน
2.2 ความเสียหาย
(1) ด้านชีวิต ราษฎรเดือดร้อน 44,139 คน 12,501 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 4 คน (จ.แม่ฮ่องสอน 1 คน สตูล 2 คน และตรัง 1 คน )
(2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 198 หลัง ถนน 160 สาย สะพาน 4 แห่ง พื้นที่การเกษตร 54,014 ไร่ ปศุสัตว์ 1,000 ตัว
(3) มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.3 สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน ( ณ วันที่ 24 ก.ค. 2549 ) สรุปได้ดังนี้
2.3.1) พื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว รวม 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด อุดรธานี นครพนม ตาก แม่ฮ่องสอน เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง สุราษฎร์ธานี และกระบี่
2.3.2) พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์ รวม 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอประจันตคาม มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ตำบลบุฝ้าย (หมู่ที่ 2,4,13,) ตำบลหนองแก้ว (หมู่ 1,2,8,) ตำบลโพธิ์งาม (หมู่ 7) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 123 ครัวเรือน ถนน 6 สาย พื้นที่ทางการเกษตร 2,600 ไร่
(2) อำเภอกบินทร์บุรี มีน้ำท่วมในพื้นที่ตำบลกบินทร์บุรี บริเวณถนนเทศบาล 1 (ตลาดเก่า) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 เมตร ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 571 ครัวเรือน ถนน 25 สาย พื้นที่ทางการเกษตร 2,000 ไร่ บ่อปลา 50 บ่อ ปศุสัตว์ 1,000 ตัว
(3) อำเภอเมืองฯ ได้เกิดฝนตกในพื้นที่เขาใหญ่ (เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2549) ทำให้น้ำไหลลงมาเข้าท่วมพื้นที่ทางการเกษตรของตำบลโคกไม้ลาย ระดับน้ำสูงประมาณ 0.60-0.80 เมตร ปัจจุบันระดับน้ำลดลงเกือบเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ความเสียหายอื่นๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
- สำหรับในพื้นที่เทศบาลเมืองปราจีนบุรี ยังไม่มีสถานการณ์น้ำท่วม
- อนึ่ง น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรียังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จังหวัดได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำให้ระมัดระวังภาวะน้ำล้นตลิ่งและให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 25 กรกฎาคม 2549--จบ--
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคม 2549)
1.1) ได้จัดสร้างเต็นท์ พักอาศัยชั่วคราวเสร็จแล้ว จำนวน 282 หลัง ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ดังนี้ (1) อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 127 หลัง (2) อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 38 หลัง (3) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 67 หลัง (4) ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 50 หลัง
1.2) ได้จัดสร้างบ้านพักชั่วคราว (บ้านน็อคดาวน์) ของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยากที่บ้านแม่คุ หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 24 หลัง
1.3) การเตรียมพื้นที่รองรับการสร้างบ้านพักถาวรใน 3 จังหวัด การก่อสร้างบ้านประกอบสำเร็จรูป (บ้านน็อคดาวน์) มูลนิธิไทยคมได้ดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมที่ดินจัดวางผังหมู่บ้าน/ชุมชนให้มีความเหมาะสมและมีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ดังนี้
(1) จังหวัดแพร่ ที่อำเภอสูงเม่น จำนวน 23 หลัง สำหรับอำเภอเมือง จำนวน 104 หลัง และอำเภอเด่นชัย จำนวน 8 หลัง โดยใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
(2) จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้จัดเตรียมที่ดินรองรับเบื้องต้นแล้ว ดังนี้ ในที่ดินที่ของนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน อ.ท่าปลา 2 แปลง ที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ อ.เมืองฯ (3 แปลง) และลับแล (2 แปลง) รวม 7 แปลง เนื้อที่ประมาณ 1,501 ไร่ โดยราษฎรประสงค์ให้จัดสร้างบ้านในที่ดินที่ราชการจัดให้ 216 หลัง สร้างในที่ดินตนเอง 268 หลัง
(3) จังหวัดสุโขทัย จำนวน 73 หลัง (อำเภอศรีสัชนาลัย) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ต. บ้านตึก
1.4) ความก้าวหน้าในการก่อสร้างบ้านถาวรของมูลนิธิไทยคม เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านน็อคดาวน์ ของมูลนิธิไทยคมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เฟสแรก รวม 62 หลัง ดังนี้
1) ที่บ้านน้ำพุ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านกวาง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ จำนวน 23 หลัง
2) ที่นิคมลำน้ำน่าน บ้านปากทับ หมู่ที่ 7 ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 20 หลัง
3) ที่บ้านห้วยกุ่มไทยคม หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 19 หลัง
1.5) การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ก.ค. 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 90,251,389 บาท แยกได้ดังนี้
- ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย เป็นเงิน 1,920,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 25 ราย เป็นเงิน 750,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,045 ราย เป็นเงิน 2,196,000 บาท
- ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 4,976 ราย เป็นเงิน 51,635,921 บาท
- ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 30 ราย เป็นเงิน 265,800 บาท
- ค่าเครื่องนุงห่ม จำนวน 710 ราย เป็นเงิน 766,800 บาท
- ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 18,602,498 บาท
- ค่าอื่นๆ เป็นเงิน 14,114,370 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 16,487,090 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 6,497,970 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 113,236,449 บาท
การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2549 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น )
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 288 ราย เป็นเงิน 3,160,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 790 ราย เป็นเงิน 9,214,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 2,885 ราย เป็นเงิน 35,989,340 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,963 ราย เป็นเงิน 48,364,720 บาท
1.6) การติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนและไซเรนแบบมือหมุนในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มสูง (สีแดง)ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งให้จังหวัดภาคเหนือทุกจังหวัดตรวจสอบและจัดทำแผนการติดตั้งและปรับย้ายเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนและไซเรนแบบมือหมุนให้มีครบในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มสูง (สีแดง) ให้ครบถ้วนตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี กำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2549 ผลการดำเนินงาน สรุปได้ดังนี้
(1) ในพื้นที่ภาคเหนือมีพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มสูง (สีแดง) จำนวน 1,294 หมู่บ้าน ได้ทำการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนแล้ว จำนวน 363 เครื่อง และไซเรนแบบมือหมุน 109 เครื่องแล้ว ขณะนี้ยังมีหมู่บ้านซึ่งเสี่ยงภัยดินถล่มสูงที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน จำนวน 931 เครื่อง และไซเรนแบบมือหมุน จำนวน 1,185 เครื่อง
(2) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดทำเครื่องวัดปริมาณน้ำฝนไว้แล้ว จำนวน 707 เครื่อง และขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกรมทรัพยากรธรณี จำนวน 224 เครื่อง สำหรับไซเรนแบบมือหมุนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดหาไว้แล้ว จำนวน 935 เครื่อง โดยจะดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2549 และจักได้จัดหาเพิ่มเติม จำนวน 250 เครื่อง ให้ครบถ้วนต่อไป
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างวันที่ 1 - 24 กรกฎาคม 2549)
ระหว่างวันที่ 1 - 24 กรกฎาคม 2549 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย เป็นเหตุให้มีฝนตกหนักมากตั้งแต่วันที่ 1 — 24 กรกฎาคม 2549 ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ่งสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก
2.1 พื้นที่ประสบอุทกภัย รวม 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี อุดรธานี นครพนม ตราด ตาก แม่ฮ่องสอน เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง กระบี่ และสุราษฎร์ธานี รวม 47 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 147 ตำบล 444 หมู่บ้าน
2.2 ความเสียหาย
(1) ด้านชีวิต ราษฎรเดือดร้อน 44,139 คน 12,501 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 4 คน (จ.แม่ฮ่องสอน 1 คน สตูล 2 คน และตรัง 1 คน )
(2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 198 หลัง ถนน 160 สาย สะพาน 4 แห่ง พื้นที่การเกษตร 54,014 ไร่ ปศุสัตว์ 1,000 ตัว
(3) มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.3 สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน ( ณ วันที่ 24 ก.ค. 2549 ) สรุปได้ดังนี้
2.3.1) พื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว รวม 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด อุดรธานี นครพนม ตาก แม่ฮ่องสอน เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง สุราษฎร์ธานี และกระบี่
2.3.2) พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์ รวม 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่
(1) อำเภอประจันตคาม มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ตำบลบุฝ้าย (หมู่ที่ 2,4,13,) ตำบลหนองแก้ว (หมู่ 1,2,8,) ตำบลโพธิ์งาม (หมู่ 7) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 เมตร ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 123 ครัวเรือน ถนน 6 สาย พื้นที่ทางการเกษตร 2,600 ไร่
(2) อำเภอกบินทร์บุรี มีน้ำท่วมในพื้นที่ตำบลกบินทร์บุรี บริเวณถนนเทศบาล 1 (ตลาดเก่า) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 เมตร ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 571 ครัวเรือน ถนน 25 สาย พื้นที่ทางการเกษตร 2,000 ไร่ บ่อปลา 50 บ่อ ปศุสัตว์ 1,000 ตัว
(3) อำเภอเมืองฯ ได้เกิดฝนตกในพื้นที่เขาใหญ่ (เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 2549) ทำให้น้ำไหลลงมาเข้าท่วมพื้นที่ทางการเกษตรของตำบลโคกไม้ลาย ระดับน้ำสูงประมาณ 0.60-0.80 เมตร ปัจจุบันระดับน้ำลดลงเกือบเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ความเสียหายอื่นๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
- สำหรับในพื้นที่เทศบาลเมืองปราจีนบุรี ยังไม่มีสถานการณ์น้ำท่วม
- อนึ่ง น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรียังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จังหวัดได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำให้ระมัดระวังภาวะน้ำล้นตลิ่งและให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยแล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 25 กรกฎาคม 2549--จบ--