การลงนามในเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 20, 2009 14:49 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง การลงนามในเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วน

(บันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค)

คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานของสำนักงาน ป.ป.ส. เป็นผู้ลงนามในเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนของบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สหภาพพม่า ราชอาณาจักรไทย สาธารณรัฐสังคมเวียดนาม และ United Nations Office On Drugs and Crime (UNODC) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ

กระทรวงยุติธรรมรายงานว่า

1. ประเทศไทยได้ร่วมเป็นภาคีบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค และโครงการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (United Nations International Drugs Control Programme-UNDCP) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office On Drugs and Crime -UNODC) ตั้งแต่ปี 2536 โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2536 ต่อมาที่ประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2544 ณ กรุงย่างกุ้งสหภาพพม่า ได้มีมติเห็นชอบกับการดำเนินงานในลักษณะของความเป็นหุ้นส่วนและความเป็นเจ้าของโครงการต่างๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค (Subregional Action Plan-SAP) มากขึ้น โดย UNODC ได้เสนอให้มีการลงนามเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนของบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ (Addendum on Partnership to the 1993 MOU on Drug Control) เพื่อแสดงให้ประเทศผู้บริจาคเห็นว่าประเทศภาคีบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ มีความพยายามที่จะช่วยเหลือตนเองเพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาค โดยร่วมกันออกเงินสมทบเพื่อการดำเนินโครงการที่อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาค ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ลงนามในเอกสารเพิ่มเติมดังกล่าวโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2545

2. ในการดำเนินการตามพันธกรณีที่ปรากฏในเอกสารเพิ่มเติมฯ ประเทศภาคีจะให้การสนับสนุนทั้งในลักษณะตัวเงินและมิใช่ตัวเงิน ในการบริจาคในลักษณะที่เป็นตัวเงิน ประเทศภาคีจะบริจาคเงินสมทบตามอัตราที่กำหนด หรือมากกว่าอัตราที่กำหนด ดังนี้ กัมพูชา และลาว 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ พม่า และเวียดนาม 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จีน และไทย 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามเงื่อนไขของเอกสารเพิ่มเติมฯ ประเทศไทยมีพันธกรณีในการออกเงินสมทบ คือ การบริจาคเงินจำนวน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้ในโครงการสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วนของประเทศภาคีสมาชิกกรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ (Support for MOU Partnership in East Asia-HI5) และการบริจาคเงิน จำนวน 10,000 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับการดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการอนุภูมิภาคที่ประเทศไทยได้ลงนามเข้าร่วมโครงการ

3. จากความสำเร็จของการดำเนินงานภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนดังกล่าว ประเทศสมาชิกกรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ จึงได้เห็นชอบให้มีการขยายความเป็นหุ้นส่วนออกไป และปรับปรุงแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนดังกล่าว เพื่อให้มีความเหมาะสมและทันกับสภาพปัญหายาเสพติดที่เปลี่ยนไป โดย UNODC จะนำเสนอเอกสารดังกล่าวในที่ประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2552 เพื่อการลงนาม โดยผู้แทนของประเทศภาคีสมาชิกทั้งหมด ซึ่งกระทรวงยุติธรรมพิจารณาเห็นว่า การลงนามในเอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมฯ ดังกล่าว จะเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของประเทศไทยร่วมกับประเทศภาคีบันทึกความเข้าใจ 7 ฝ่ายฯ ในการช่วยเหลือตนเองในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาค อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างประเทศภาคีสมาชิกบันทึกความเข้าใจฯ ในอีกทางหนึ่ง

4. ประเด็นที่ว่า เอกสารแก้ไขเอกสารเพิ่มเติมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนดังกล่าวเข้าข่าย มาตรา 190 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติให้การทำหนังสือสัญญาใดที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย หรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาหรือไม่นั้น กระทรวงยุติธรรมพิจารณาแล้วเห็นว่า เอกสารแก้ไขฯ ได้มีการแก้ไขในส่วนสถานการณ์ยาเสพติดในภูมิภาคให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบันให้มากขึ้น และมีการเพิ่มเติมในเรื่องของการบริจาคที่ไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสร้างเสริมความเป็นหุ้นส่วน แต่มิได้เป็นการบังคับแต่อย่างใด เป็นการเสนอแนวทางเพื่อพิจารณา โดยประเทศภาคีสมาชิกสามารถเลือกปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศ ส่วนหลักการและสาระสำคัญ รวมทั้งอัตราส่วนของเงินบริจาคที่ประเทศภาคีสมาชิกต้องบริจาคให้แก่โครงการสนับสนุนความเป็นหุ้นส่วน และเงินบริจาคในการเข้าร่วมกิจกรรมของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการอนุภูมิภาคยังคงอัตราเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเอกสารเพิ่มเติมความเป็นหุ้นส่วนฯ ที่ได้มีการลงนามเมื่อปี 2545 ดังนั้น จึงไม่เข้าข่ายมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 19 พฤษภาคม 2552 --จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ