คณะรัฐมนตรีเห็นชอบนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตเหล็กขั้นต้น ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุน และภาครัฐให้การสนับสนุนเร่งรัดในการดำเนินการก่อสร้าง ในส่วนของสาธารณูปโภค พื้นฐานของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้มีเวลาที่สอดคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่จะขยายตัว โดยเฉพาะภาคตะวันตกซึ่งมีแผนการดำเนินการอยู่แล้ว และให้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจรับไปพิจารณาให้การสนับสนุนในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ในปี 2546 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ว่าจ้างบริษัท แมคคินซี่ แอนด์ คอมปานี ทำการศึกษาแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาได้แนะนำให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำให้มีความสามารถในการแข่งขันใน 2 แนวทางคือ
1. แนวทางที่ 1 การลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ โดยให้มีการใช้ประโยชน์จากเตาหลอมเหล็กไฟฟ้า ให้ผู้ประกอบการเหล็กที่อยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ที่มีเตาหลอมไฟฟ้าตั้งโรงถลุงเหล็กขนาดเล็ก เพื่อผลิตเหล็กถลุงทดแทนเศษเหล็กนำเข้า และพัฒนาโรงถลุงเหล็กเพื่อผลิตเหล็กกึ่งสำเร็จรูป (Billet,Slab)
2. แนวทางที่ 2 การเป็นพันธมิตร/ร่วมลงทุนกับผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลกในประเทศที่มีแหล่งวัตถุดิบ โครงสร้างพื้นฐานพร้อม และมีกำลังการผลิตส่วนเกิน อันจะทำให้ต้นทุนการลงทุนต่ำ
ขณะนี้ได้มีเอกชนสนใจที่จะลงทุนจัดตั้งโรงถลุงเหล็ก 2 ราย ได้แก่
1. บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) ขนาดกำลังการผลิต 2.6 ล้านตันต่อปี เงินลงทุน 420 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อสร้างภายในเวลา 2 ปี ณ จังหวัดระยอง โดยจะเป็นการผลิต Billet,Slab เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กของตน ซึ่งขณะนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยโครงการจะอยู่ในพื้นที่พัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับอยู่บ้างแล้ว
2. เครือสหวิริยา ขนาดกำลังการผลิต 30 ล้านตันต่อปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 12,125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 5 ระยะ แต่ละระยะมีกำลังการผลิต 5,5,5,7.5,7.5 ล้านตัน ภายใน 15 ปี ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดชุมพร ทั้งนี้สถานที่ก่อสร้างโครงการตั้งอยู่ในภาคตะวันตกซึ่งยังอยู่ในพื้นที่ที่ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน จึงได้มีการเสนอขอรับการสนับสนุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสาธารณูปโภค จากภาครัฐ เช่น ถนนสายส่งไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเพื่อประโยชน์กับพื้นที่รอบด้านโดยรวม
ตามแผนการผลิตของบริษัททั้ง 2 บริษัทจะทำให้ในปี 2550 ซึ่งเป็นระยะเริ่มแรกของการผลิตจะสามารถผลิตได้ร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตทั้งหมด จะได้ผลผลิตรวม 8 ล้านตัน โดยมีการบริโภคเหล็กของไทยคาดว่าจะอยู่ที่ 15 ล้านตัน และเมื่อเครือสหวิริยา ผลิตได้ครบทั้ง 5 ระยะ ซึ่งจะมีกำลังการผลิตรวม 30 ล้านตัน ก็จะสามารถทดแทนการนำเข้าเหล็กภายในประเทศได้ทั้งหมด และจะมีปริมาณผลผลิตเหลือส่งออกได้อีก 8.5 ล้านตัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 18 มกราคม 2548--จบ--
ทั้งนี้ ในปี 2546 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ว่าจ้างบริษัท แมคคินซี่ แอนด์ คอมปานี ทำการศึกษาแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาได้แนะนำให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำให้มีความสามารถในการแข่งขันใน 2 แนวทางคือ
1. แนวทางที่ 1 การลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ โดยให้มีการใช้ประโยชน์จากเตาหลอมเหล็กไฟฟ้า ให้ผู้ประกอบการเหล็กที่อยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันออก ที่มีเตาหลอมไฟฟ้าตั้งโรงถลุงเหล็กขนาดเล็ก เพื่อผลิตเหล็กถลุงทดแทนเศษเหล็กนำเข้า และพัฒนาโรงถลุงเหล็กเพื่อผลิตเหล็กกึ่งสำเร็จรูป (Billet,Slab)
2. แนวทางที่ 2 การเป็นพันธมิตร/ร่วมลงทุนกับผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลกในประเทศที่มีแหล่งวัตถุดิบ โครงสร้างพื้นฐานพร้อม และมีกำลังการผลิตส่วนเกิน อันจะทำให้ต้นทุนการลงทุนต่ำ
ขณะนี้ได้มีเอกชนสนใจที่จะลงทุนจัดตั้งโรงถลุงเหล็ก 2 ราย ได้แก่
1. บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) ขนาดกำลังการผลิต 2.6 ล้านตันต่อปี เงินลงทุน 420 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อสร้างภายในเวลา 2 ปี ณ จังหวัดระยอง โดยจะเป็นการผลิต Billet,Slab เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กของตน ซึ่งขณะนี้ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยโครงการจะอยู่ในพื้นที่พัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับอยู่บ้างแล้ว
2. เครือสหวิริยา ขนาดกำลังการผลิต 30 ล้านตันต่อปี ใช้เงินลงทุนประมาณ 12,125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 5 ระยะ แต่ละระยะมีกำลังการผลิต 5,5,5,7.5,7.5 ล้านตัน ภายใน 15 ปี ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และจังหวัดชุมพร ทั้งนี้สถานที่ก่อสร้างโครงการตั้งอยู่ในภาคตะวันตกซึ่งยังอยู่ในพื้นที่ที่ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน จึงได้มีการเสนอขอรับการสนับสนุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสาธารณูปโภค จากภาครัฐ เช่น ถนนสายส่งไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนเพื่อประโยชน์กับพื้นที่รอบด้านโดยรวม
ตามแผนการผลิตของบริษัททั้ง 2 บริษัทจะทำให้ในปี 2550 ซึ่งเป็นระยะเริ่มแรกของการผลิตจะสามารถผลิตได้ร้อยละ 80 ของกำลังการผลิตทั้งหมด จะได้ผลผลิตรวม 8 ล้านตัน โดยมีการบริโภคเหล็กของไทยคาดว่าจะอยู่ที่ 15 ล้านตัน และเมื่อเครือสหวิริยา ผลิตได้ครบทั้ง 5 ระยะ ซึ่งจะมีกำลังการผลิตรวม 30 ล้านตัน ก็จะสามารถทดแทนการนำเข้าเหล็กภายในประเทศได้ทั้งหมด และจะมีปริมาณผลผลิตเหลือส่งออกได้อีก 8.5 ล้านตัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 18 มกราคม 2548--จบ--