คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้สรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย (วันที่ 27 สิงหาคม—13 พฤศจิกายน 2549) ดังนี้
1.สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม — 13 พฤศจิกายน 2549)
1.1) พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 390 อำเภอ 32 กิ่งอำเภอ 16 เขต 2,648 ตำบล 16,085 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,296,017 คน 1,217,693 ครัวเรือน
1.2) ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 254 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 46 คน พิจิตร 27 คน อ่างทอง 27 คน สิงห์บุรี 21 คน นครสวรรค์ 15 คน สุโขทัย 14 คน พิษณุโลก 12 คน ปราจีนบุรี 12 คน สุพรรณบุรี 11 คน ชัยภูมิ 10 คน ยโสธร 9 คน ชัยนาท 8 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 6 คน ลพบุรี 4 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน จันทบุรี 3 คน ร้อยเอ็ด 3 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน ศรีสะเกษ 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน และพังงา 1 คน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 12,015 หลัง ถนน 7,375 สาย สะพาน 490 แห่ง ท่อระบายน้ำ 428 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 561 แห่ง พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 6,046,111 ไร่
(ข้อมูลจากการบูรณาการระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) บ่อปลา/กุ้ง 44,276 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,335 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 6,432,561,892 บาท (ไม่รวมทรัพย์สินและบ้านเรือนของประชาชน)
2. สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549)
2.1) พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด
2.2) ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร ใน 64 อำเภอ 12 เขต (คิดเป็นร้อยละ 42.46 ของอำเภอ/กิ่งอำเภอและเขตทั้งหมดใน 15 จังหวัดที่ยังประสบอุทกภัย) 520 ตำบล 3,550 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 1,100,011 คน 342,512 ครัวเรือน
3. สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันใน 15 จังหวัด
3.1) จังหวัดพิษณุโลก ในพื้นที่ 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางระกำ (3 ตำบล คือ ตำบลบางระกำ ปลักแรด และท่านางงาม) ซึ่งพื้นที่เป็นลุ่มแอ่งกระทะ ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม.
3.2) จังหวัดพิจิตร ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอวชิรบารมี (2 ตำบล) อำเภอสามง่าม (1 ตำบล) อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (4 ตำบล) อำเภอโพทะเล (8 ตำบล) และอำเภอบางมูลนาก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม. และน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่การเกษตรเน่าเสีย ซึ่งทางราชการได้นำสารชีวภาพ (EM) มาทำให้น้ำอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น
3.3) จังหวัดนครสวรรค์ ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอชุมแสง (9 ตำบล) และอำเภอเก้าเลี้ยว (1 ตำบล) และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอโกรกพระ (7 ตำบล) อำเภอพยุหะคีรี (4 ตำบล) และอำเภอท่าตะโก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.30 ม. ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.4) จังหวัดอุทัยธานี ในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง ของอำเภอเมืองฯ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกาะเทโพ ท่าซุง และสะแกกรัง ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม.
3.5) จังหวัดชัยนาท มีน้ำท่วมใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (2 ตำบล) อำเภอมโนรมย์ (2 ตำบล) และอำเภอสรรพยา (6 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.10-0.35 ม. ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.6) จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรที่ติดกับริมแม่น้ำลพบุรีของอำเภอเมืองฯ (8 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.15-0.25 ม. ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.7) จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรของอำเภอดอนพุด (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.40-0.80 ม. ระดับน้ำลดลง
3.8) จังหวัดสิงห์บุรี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (3 ตำบล) อำเภออินทร์บุรี (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.70-1.10 ม. อำเภอพรหมบุรี (7 ตำบล) อำเภอท่าช้าง (1 ตำบล) อำเภอบางระจัน (3 ตำบล) และอำเภอค่ายบางระจัน (1 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.70 ม. ระดับน้ำลดลง
3.9) จังหวัดอ่างทอง ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอป่าโมก อำเภอไชโย ระดับน้ำสูง 0.35-1.20 ม. ส่วนที่อำเภอแสวงหา อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอสามโก้ (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.35-0.90 ม. ระดับน้ำทรงตัว
3.10) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในพื้นที่ 15 อำเภอ 3 เทศบาล ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา (14 ตำบล) อำเภอบางบาล (16 ตำบล) อำเภอบางไทร (23 ตำบล) อำเภอผักไห่ (16 ตำบล) อำเภอเสนา (15 ตำบล) อำเภอมหาราช (12 ตำบล) อำเภอนครหลวง (9 ตำบล) อำเภอบางปะหัน (16 ตำบล) อำเภอบางปะอิน (17 ตำบล) อำเภอบ้านแพรก (5 ตำบล) อำเภอภาชี (8 ตำบล) อำเภอลาดบัวหลวง (6 ตำบล) อำเภอวังน้อย (10 ตำบล) อำเภออุทัย (2 ตำบล) อำเภอบางซ้าย (6 ตำบล) เทศบาลเมืองเสนา เทศบาลเมืองอโยธยา และเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำสูง 0.20-1.25 ม. ระดับน้ำลดลง
3.11) จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากน้ำที่ท่วมจังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ไหลหลากเข้าทุ่งทำให้ท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.50 ม. อำเภอบางปลาม้า (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.70-1.30 ม. และอำเภอสองพี่น้อง ระดับน้ำสูง 0.90-1.70 ม.
3.12) จังหวัดนครปฐม น้ำที่ระบายจากคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองบางเลน ไหลเอ่อ เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเลน (15 ตำบล) เทศบาลตำบลบางหลวง เทศบาลตำบลลำพญา เทศบาลตำบลบางภาษี และเทศบาลตำบลบางเลน ระดับน้ำสูง 1.00-1.70 ม. อำเภอนครชัยศรี (14 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 ม. อำเภอพุทธมณฑล (3 ตำบล) น้ำท่วมชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ ริมคลองโยง และริมคลองทวีวัฒนา และอำเภอกำแพงแสน (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.50-0.75 ม. เนื่องจากน้ำทะเลหนุนทำให้แม่น้ำท่าจีนระบายลงทะเลได้ช้า
3.13) จังหวัดปทุมธานี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอสามโคก และอำเภอลาดหลุมแก้ว ระดับน้ำสูง 0.50-1.00 ม. เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับอำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรี และอำเภอลำลูกกา ระดับน้ำสูง 0.20-0.50 ม. ระดับน้ำทรงตัว
3.14) จังหวัดนนทบุรี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงประกอบกับมีน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้มีน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำของอำเภอปากเกร็ด และอำเภอเมืองฯ ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของกรมชลประทานจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมลทำให้มีพื้นที่น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกรวย อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 ม.ระดับน้ำทรงตัว
3.15) กรุงเทพมหานคร ปริมาณน้ำท่วมขังในเขตลาดกระบัง (5 ชุมชน) และพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ นอกแนวคันกั้นน้ำมีราษฎรเดือดร้อนใน 11 เขต 33 ชุมชน 2,111 ครัวเรือน
4. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 13 พ.ย. 2549) โดยกรมชลประทาน
4.1) เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 13,269 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 193 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 10.9 ล้าน ลบ.ม.
4.2) เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 9,443 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 67 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 7.98 ล้าน ลบ.ม.
4.3) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 927 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 35 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 96 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 0.88 ล้าน ลบ.ม.
5. ปริมาณน้ำเจ้าพระยาที่ทำให้เกิดอุทกภัยเปรียบเทียบปี 2538, 2545 และ 2549
ที่ ปริมาณน้ำไหลผ่าน ปี 2538 ปี 2545 ปี 2549
ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วินาที ลบ.ม./วินาที หมายเหตุ
(13 พ.ย. 49)
1 นครสวรรค์ 4,820 3,886 2,187 จังหวัดนครสวรรค์สูงสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม
2 เขื่อนเจ้าพระยา 4,557 3,930 2,075 2549 5,960 ลบ.ม./วินาที
(5 ต.ค. 2538) (10 ต.ค. 2545) (13 พ.ย. 2549) และลดลงอย่างต่อเนื่อง
3 เขื่อนพระรามหก 1,473 1,216 หยุดการระบาย
4 อำเภอบางไทร 5,451 4,288 2,505
* ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ลงไปถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อยู่ต่ำกว่าระดับตลิ่งแล้ว
6. การให้ความช่วยเหลือในช่วงเกิดอุทกภัยของกรมชลประทาน
6.1 ได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือในฤดูฝนปี 2549 ทั่วประเทศ จำนวน 995 เครื่อง แยกเป็นเพื่อการเกษตร 419 เครื่อง การอุปโภค-บริโภค 14 เครื่อง และเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัยในฤดูฝน2549 ทั่วประเทศแล้ว จำนวน 562 เครื่อง โดยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำไปแล้ว 248 เครื่อง แยกเป็นฝั่งตะวันตก 83 เครื่อง ฝั่งตะวันออก 165 เครื่อง ( นนทบุรี 98 เครื่อง , ปทุมธานี 70 เครื่อง , สมุทรสาคร 3 เครื่อง., กรุงเทพ 17 เครื่อง, นครปฐม 51 เครื่อง , พระนครศรีอยุธยา 9 เครื่อง และส่งเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 29 เครื่อง แยกเป็น ฝั่งตะวันออก 5 เครื่อง ฝั่งตะวันตก 24 เครื่อง (กรุงเทพฯ 12 เครื่อง สมุทรปราการ 5 เครื่อง สมุทรสาคร 6 เครื่อง นครปฐม 4 เครื่อง พระนครศรีอยุธยา 2 เครื่อง ) และเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลืออุทกภัยในภาคใต้ จำนวน 87 เครื่อง
6.2 ได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาอุทกภัย ณ ที่ว่าการอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2549 เป็นต้นไป เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาการระบายน้ำในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร
7. การให้ความช่วยเหลือแก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังนี้
7.1) เครื่องจักรกล 171 คัน/เครื่อง เรือท้องแบน 174 ลำ รถผลิตน้ำดื่ม 2 คัน เต็นท์ยกพื้นพักอาศัยชั่วคราว 555 หลัง (อ่างทอง 177 หลัง พระนครศรีอยุธยา 88 หลัง สุโขทัย 20 หลัง นครสวรรค์ 50 หลัง อุตรดิตถ์ 124 หลัง น่าน 39 หลัง ชัยนาท 35 หลัง และ สิงห์บุรี 22 หลัง) พร้อมเจ้าหน้าที่ 642 คน และสนับสนุนถุงยังชีพ 80,359 ชุด ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
7.2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 180 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 4,775,000 บาท (คงเหลือ 74 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ) ทั้งนี้จังหวัดที่ประสบภัยได้ใช้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว 364.321 ล้านบาท
7.3) จัดส่งถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าขาวม้า ผ้าถุง รองเท้ายาง ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย คิดเป็นมูลค่า 41,649,800 บาท
8. สิ่งของพระราชทาน (ระหว่างวันที่ 7 - 13 พฤศจิกายน 2549)
8.1) มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 7 - 13 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดปทุมธานีที่ อบต. คูบางหลวง อ.ลาดหลุมแก้ว จำนวน 1,000 ชุด บริเวณโรงไม้ท่าอุดม หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านกระแซง อ.เมือง จำนวน 500 ชุด และโรงเรียนบางคูวัด ตำบลบางคูวัด อำเภอเมือง จำนวน 500 ชุด
- เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดนนทบุรี ที่ อบต.บางใหญ่ อำเภอบางใหญ่ จำนวน 500 ชุด ที่วัดต้นเชือก ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบางใหญ่ จำนวน 500 ชุด ที่วัดสโมสร ตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย จำนวน 1,000 ชุด ที่สุเหร่าโรงกระโจม ตำบลพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จำนวน 700 ชุด
- เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ อบต.ตลาดเกรียบ อำเภอบางปะอิน จำนวน 460 ชุด ที่วัดพญาญาติ ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จำนวน 520 ชุด ที่ อบต.บางกระสั้น อำเภอบางปะอิน จำนวน 1,200 ชุด และที่เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ที่ชุมชนวัดปุรณาวาส จำนวน 196 ชุด ชุมชนหลังสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์ จำนวน 185 ชุด ชุมชนประตูน้ำฉิมพลี จำนวน 213 ชุด ชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ จำนวน 150 ชุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.49 เป็นต้นมามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว 59,400 ครอบครัว คิดเป็นมูลค่าสิ่งของพระราชทาน จำนวน 40,392,000 บาท
8.2) สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย จัดหน่วยแพทย์พร้อมรถตรวจโรคเคลื่อนที่ไปให้บริการตรวจรักษาแก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 7 - 13 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยนำอาหารพร้อมรับประทาน ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน จำนวน 1,716 ชุด
- เมื่อที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ที่วัดปทุมวัน อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยนำอาหารพร้อมรับประทาน ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน จำนวน 1,416 ชุด
- เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยนำอาหารพร้อมรับประทาน ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน จำนวน 1,750 ชุด
8.3) มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ได้จัดตั้งคลังอาหารและน้ำดื่ม หน่วยแพทย์ตรวจรักษาโรคเบื้องต้น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่เร็วป้องกันโรคระบาดที่เกิดจากอุทกภัย และมอบอาหารเสริมพระราชทานในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดชัยนาท (อำเภอสรรพยา) จังหวัดสิงห์บุรี (อำเภออินทร์บุรี) จังหวัดอ่างทอง (อำเภอป่าโมก) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (อำเภอ บางไทร) จนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะสิ้นสุด
9. การตรวจเยี่ยมราษฎรผู้ประสบภัย
9.1) เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอารีย์ วงศ์อารยะ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(นายธีระ สูตะบุตร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (พลเรือเอกธีระ ห้าวเจริญ) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทางหลวง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (พลเอกไพโรจน์ พานิชสมัย) และคณะฯ ได้เดินทางไปตรวจสถานการณ์อุทกภัยและเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยแห่งละ จำนวน 500 ชุด รวมทั้งหมด 1,000 ชุด
9.2) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทน์เสนะ) และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้เดินทางไปมอบถุงยังชีพจำนวน 235 ชุด มุ้ง 135 หลัง ขนมและของเล่นเด็กให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ตำบลพิมลราษฎร์ และตำบลละหาน อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
10. การติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทน์เสนะ) ได้เป็นประธานฯประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่มปี 2549 ณ กระทรวงมหาดไทย โดยได้แจ้งให้จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัยให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ยึดหลักการทำงานที่ โปร่งใสเป็นธรรม ประหยัด มีประสิทธิภาพ ตามนโยบายของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) ดังนี้
1. ให้จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด โดยศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน แต่งตั้งคณะกรรมการด้านต่าง ๆ จำนวน 13 คณะ ให้สอดคล้องรองรับกับภารกิจของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) เพื่อรับผิดชอบในข้อมูลความเสียหายในแต่ละด้านและบูรณาการช่วยเหลือตามนโยบายของ คชอ.
2. คณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายของจังหวัด ดำเนินการสำรวจความเสียหาย และจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม/งบประมาณที่ต้องใช้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูความเสียหายต่างๆ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549
3. จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด ประสานงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือผ่านส่วน ราชการที่รับผิดชอบ เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาและเพื่อนำเสนอคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ต่อไป
4. สำหรับจังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ราษฎรผู้ประสบภัยได้รับความเดือดร้อน ในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน จำเป็นอย่างยิ่งที่ทางราชการต้องดูแลเอาใจใส่และให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยมอบแนวทางปฏิบัติงานเพิ่มเติม ดังนี้
(1) ให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ระดับจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งมอบภารกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้มีผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะฝ่ายประสานการปฏิบัติ ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ ฝ่ายปฏิบัติการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์
(2) จัดให้มีการประชุมติดตามผลการปฏิบัติงานเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองความต้องการและข้อร้องทุกข์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง
(3) ให้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสถานีวิทยุทหาร วิทยุของรัฐ วิทยุชุมชนในพื้นที่ ในลักษณะข่าวต้นชั่วโมง ให้ทราบถึงความก้าวหน้าของการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และให้มีการรับแจ้งข้อร้องเรียนความเดือดร้อนจากประชาชนเพื่อเป็นการสื่อสาร 2 ทาง เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรีบแก้ไข หรือนำความช่วยเหลือไปให้ พร้อมกับรายงานผลการช่วยเหลือผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงให้ประชาชนทราบ
(4) จัดชุดเยี่ยมเยียนประชาชน ดูแลสุขภาพ ฟื้นฟูจิตใจ และช่วยเหลือสิ่งจำเป็นต่อการยังชีพ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ โดยฝ่ายปกครองร่วมกับสาธารณสุขและพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
(5) เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยเฉพาะเงินช่วยเหลือผู้ที่เสียชีวิตจากอุทกภัย ให้แก่ญาติเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวในระหว่างที่ประสบภัย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 14 พฤศจิกายน 2549--จบ--
1.สรุปสถานการณ์อุทกภัย (ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม — 13 พฤศจิกายน 2549)
1.1) พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 390 อำเภอ 32 กิ่งอำเภอ 16 เขต 2,648 ตำบล 16,085 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,296,017 คน 1,217,693 ครัวเรือน
1.2) ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 254 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 46 คน พิจิตร 27 คน อ่างทอง 27 คน สิงห์บุรี 21 คน นครสวรรค์ 15 คน สุโขทัย 14 คน พิษณุโลก 12 คน ปราจีนบุรี 12 คน สุพรรณบุรี 11 คน ชัยภูมิ 10 คน ยโสธร 9 คน ชัยนาท 8 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 6 คน ลพบุรี 4 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน จันทบุรี 3 คน ร้อยเอ็ด 3 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน ศรีสะเกษ 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน และพังงา 1 คน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 12,015 หลัง ถนน 7,375 สาย สะพาน 490 แห่ง ท่อระบายน้ำ 428 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 561 แห่ง พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย 6,046,111 ไร่
(ข้อมูลจากการบูรณาการระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) บ่อปลา/กุ้ง 44,276 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,335 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ
3) มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 6,432,561,892 บาท (ไม่รวมทรัพย์สินและบ้านเรือนของประชาชน)
2. สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549)
2.1) พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด
2.2) ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร ใน 64 อำเภอ 12 เขต (คิดเป็นร้อยละ 42.46 ของอำเภอ/กิ่งอำเภอและเขตทั้งหมดใน 15 จังหวัดที่ยังประสบอุทกภัย) 520 ตำบล 3,550 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 1,100,011 คน 342,512 ครัวเรือน
3. สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันใน 15 จังหวัด
3.1) จังหวัดพิษณุโลก ในพื้นที่ 1 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางระกำ (3 ตำบล คือ ตำบลบางระกำ ปลักแรด และท่านางงาม) ซึ่งพื้นที่เป็นลุ่มแอ่งกระทะ ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม.
3.2) จังหวัดพิจิตร ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอวชิรบารมี (2 ตำบล) อำเภอสามง่าม (1 ตำบล) อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (4 ตำบล) อำเภอโพทะเล (8 ตำบล) และอำเภอบางมูลนาก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.40 ม. และน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่การเกษตรเน่าเสีย ซึ่งทางราชการได้นำสารชีวภาพ (EM) มาทำให้น้ำอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น
3.3) จังหวัดนครสวรรค์ ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอชุมแสง (9 ตำบล) และอำเภอเก้าเลี้ยว (1 ตำบล) และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอโกรกพระ (7 ตำบล) อำเภอพยุหะคีรี (4 ตำบล) และอำเภอท่าตะโก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10-0.30 ม. ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.4) จังหวัดอุทัยธานี ในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง ของอำเภอเมืองฯ 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลเกาะเทโพ ท่าซุง และสะแกกรัง ระดับน้ำสูง 0.10-0.30 ม.
3.5) จังหวัดชัยนาท มีน้ำท่วมใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (2 ตำบล) อำเภอมโนรมย์ (2 ตำบล) และอำเภอสรรพยา (6 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.10-0.35 ม. ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.6) จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรที่ติดกับริมแม่น้ำลพบุรีของอำเภอเมืองฯ (8 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.15-0.25 ม. ลดลงอย่างต่อเนื่อง
3.7) จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรของอำเภอดอนพุด (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.40-0.80 ม. ระดับน้ำลดลง
3.8) จังหวัดสิงห์บุรี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (3 ตำบล) อำเภออินทร์บุรี (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.70-1.10 ม. อำเภอพรหมบุรี (7 ตำบล) อำเภอท่าช้าง (1 ตำบล) อำเภอบางระจัน (3 ตำบล) และอำเภอค่ายบางระจัน (1 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.70 ม. ระดับน้ำลดลง
3.9) จังหวัดอ่างทอง ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอป่าโมก อำเภอไชโย ระดับน้ำสูง 0.35-1.20 ม. ส่วนที่อำเภอแสวงหา อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอสามโก้ (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.35-0.90 ม. ระดับน้ำทรงตัว
3.10) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในพื้นที่ 15 อำเภอ 3 เทศบาล ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา (14 ตำบล) อำเภอบางบาล (16 ตำบล) อำเภอบางไทร (23 ตำบล) อำเภอผักไห่ (16 ตำบล) อำเภอเสนา (15 ตำบล) อำเภอมหาราช (12 ตำบล) อำเภอนครหลวง (9 ตำบล) อำเภอบางปะหัน (16 ตำบล) อำเภอบางปะอิน (17 ตำบล) อำเภอบ้านแพรก (5 ตำบล) อำเภอภาชี (8 ตำบล) อำเภอลาดบัวหลวง (6 ตำบล) อำเภอวังน้อย (10 ตำบล) อำเภออุทัย (2 ตำบล) อำเภอบางซ้าย (6 ตำบล) เทศบาลเมืองเสนา เทศบาลเมืองอโยธยา และเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำสูง 0.20-1.25 ม. ระดับน้ำลดลง
3.11) จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากน้ำที่ท่วมจังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ไหลหลากเข้าทุ่งทำให้ท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.50 ม. อำเภอบางปลาม้า (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.70-1.30 ม. และอำเภอสองพี่น้อง ระดับน้ำสูง 0.90-1.70 ม.
3.12) จังหวัดนครปฐม น้ำที่ระบายจากคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองบางเลน ไหลเอ่อ เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเลน (15 ตำบล) เทศบาลตำบลบางหลวง เทศบาลตำบลลำพญา เทศบาลตำบลบางภาษี และเทศบาลตำบลบางเลน ระดับน้ำสูง 1.00-1.70 ม. อำเภอนครชัยศรี (14 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 ม. อำเภอพุทธมณฑล (3 ตำบล) น้ำท่วมชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ ริมคลองโยง และริมคลองทวีวัฒนา และอำเภอกำแพงแสน (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.50-0.75 ม. เนื่องจากน้ำทะเลหนุนทำให้แม่น้ำท่าจีนระบายลงทะเลได้ช้า
3.13) จังหวัดปทุมธานี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอสามโคก และอำเภอลาดหลุมแก้ว ระดับน้ำสูง 0.50-1.00 ม. เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับอำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรี และอำเภอลำลูกกา ระดับน้ำสูง 0.20-0.50 ม. ระดับน้ำทรงตัว
3.14) จังหวัดนนทบุรี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงประกอบกับมีน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้มีน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำของอำเภอปากเกร็ด และอำเภอเมืองฯ ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของกรมชลประทานจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมลทำให้มีพื้นที่น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกรวย อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 ม.ระดับน้ำทรงตัว
3.15) กรุงเทพมหานคร ปริมาณน้ำท่วมขังในเขตลาดกระบัง (5 ชุมชน) และพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ นอกแนวคันกั้นน้ำมีราษฎรเดือดร้อนใน 11 เขต 33 ชุมชน 2,111 ครัวเรือน
4. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 13 พ.ย. 2549) โดยกรมชลประทาน
4.1) เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 13,269 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 193 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 10.9 ล้าน ลบ.ม.
4.2) เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 9,443 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 67 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 7.98 ล้าน ลบ.ม.
4.3) เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 927 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 35 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 96 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 0.88 ล้าน ลบ.ม.
5. ปริมาณน้ำเจ้าพระยาที่ทำให้เกิดอุทกภัยเปรียบเทียบปี 2538, 2545 และ 2549
ที่ ปริมาณน้ำไหลผ่าน ปี 2538 ปี 2545 ปี 2549
ลบ.ม./วาที ลบ.ม./วินาที ลบ.ม./วินาที หมายเหตุ
(13 พ.ย. 49)
1 นครสวรรค์ 4,820 3,886 2,187 จังหวัดนครสวรรค์สูงสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม
2 เขื่อนเจ้าพระยา 4,557 3,930 2,075 2549 5,960 ลบ.ม./วินาที
(5 ต.ค. 2538) (10 ต.ค. 2545) (13 พ.ย. 2549) และลดลงอย่างต่อเนื่อง
3 เขื่อนพระรามหก 1,473 1,216 หยุดการระบาย
4 อำเภอบางไทร 5,451 4,288 2,505
* ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ลงไปถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อยู่ต่ำกว่าระดับตลิ่งแล้ว
6. การให้ความช่วยเหลือในช่วงเกิดอุทกภัยของกรมชลประทาน
6.1 ได้ส่งเครื่องสูบน้ำเข้าช่วยเหลือในฤดูฝนปี 2549 ทั่วประเทศ จำนวน 995 เครื่อง แยกเป็นเพื่อการเกษตร 419 เครื่อง การอุปโภค-บริโภค 14 เครื่อง และเข้าช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัยในฤดูฝน2549 ทั่วประเทศแล้ว จำนวน 562 เครื่อง โดยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำไปแล้ว 248 เครื่อง แยกเป็นฝั่งตะวันตก 83 เครื่อง ฝั่งตะวันออก 165 เครื่อง ( นนทบุรี 98 เครื่อง , ปทุมธานี 70 เครื่อง , สมุทรสาคร 3 เครื่อง., กรุงเทพ 17 เครื่อง, นครปฐม 51 เครื่อง , พระนครศรีอยุธยา 9 เครื่อง และส่งเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 29 เครื่อง แยกเป็น ฝั่งตะวันออก 5 เครื่อง ฝั่งตะวันตก 24 เครื่อง (กรุงเทพฯ 12 เครื่อง สมุทรปราการ 5 เครื่อง สมุทรสาคร 6 เครื่อง นครปฐม 4 เครื่อง พระนครศรีอยุธยา 2 เครื่อง ) และเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ช่วยเหลืออุทกภัยในภาคใต้ จำนวน 87 เครื่อง
6.2 ได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาอุทกภัย ณ ที่ว่าการอำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2549 เป็นต้นไป เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหาการระบายน้ำในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร
7. การให้ความช่วยเหลือแก่จังหวัดที่ประสบอุทกภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังนี้
7.1) เครื่องจักรกล 171 คัน/เครื่อง เรือท้องแบน 174 ลำ รถผลิตน้ำดื่ม 2 คัน เต็นท์ยกพื้นพักอาศัยชั่วคราว 555 หลัง (อ่างทอง 177 หลัง พระนครศรีอยุธยา 88 หลัง สุโขทัย 20 หลัง นครสวรรค์ 50 หลัง อุตรดิตถ์ 124 หลัง น่าน 39 หลัง ชัยนาท 35 หลัง และ สิงห์บุรี 22 หลัง) พร้อมเจ้าหน้าที่ 642 คน และสนับสนุนถุงยังชีพ 80,359 ชุด ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
7.2) จ่ายเงินค่าจัดการศพ 180 ราย รายละ 15,000 บาท กรณีเป็นหัวหน้าครอบครัว รายละ 40,000 บาท เป็นเงิน 4,775,000 บาท (คงเหลือ 74 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ) ทั้งนี้จังหวัดที่ประสบภัยได้ใช้จ่ายเงินช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ไปแล้ว 364.321 ล้านบาท
7.3) จัดส่งถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้ง ผ้าขาวม้า ผ้าถุง รองเท้ายาง ไปสนับสนุนจังหวัดที่ประสบภัย คิดเป็นมูลค่า 41,649,800 บาท
8. สิ่งของพระราชทาน (ระหว่างวันที่ 7 - 13 พฤศจิกายน 2549)
8.1) มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำสิ่งของพระราชทานไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 7 - 13 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดปทุมธานีที่ อบต. คูบางหลวง อ.ลาดหลุมแก้ว จำนวน 1,000 ชุด บริเวณโรงไม้ท่าอุดม หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านกระแซง อ.เมือง จำนวน 500 ชุด และโรงเรียนบางคูวัด ตำบลบางคูวัด อำเภอเมือง จำนวน 500 ชุด
- เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดนนทบุรี ที่ อบต.บางใหญ่ อำเภอบางใหญ่ จำนวน 500 ชุด ที่วัดต้นเชือก ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบางใหญ่ จำนวน 500 ชุด ที่วัดสโมสร ตำบลไทรใหญ่ อำเภอไทรน้อย จำนวน 1,000 ชุด ที่สุเหร่าโรงกระโจม ตำบลพิมลราช อำเภอบางบัวทอง จำนวน 700 ชุด
- เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ อบต.ตลาดเกรียบ อำเภอบางปะอิน จำนวน 460 ชุด ที่วัดพญาญาติ ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จำนวน 520 ชุด ที่ อบต.บางกระสั้น อำเภอบางปะอิน จำนวน 1,200 ชุด และที่เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ที่ชุมชนวัดปุรณาวาส จำนวน 196 ชุด ชุมชนหลังสถานีรถไฟศาลาธรรมสพน์ จำนวน 185 ชุด ชุมชนประตูน้ำฉิมพลี จำนวน 213 ชุด ชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ จำนวน 150 ชุด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค.49 เป็นต้นมามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยแล้ว 59,400 ครอบครัว คิดเป็นมูลค่าสิ่งของพระราชทาน จำนวน 40,392,000 บาท
8.2) สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย จัดหน่วยแพทย์พร้อมรถตรวจโรคเคลื่อนที่ไปให้บริการตรวจรักษาแก่ผู้ประสบภัย ระหว่างวันที่ 7 - 13 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้
- เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยนำอาหารพร้อมรับประทาน ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน จำนวน 1,716 ชุด
- เมื่อที่ 8 พฤศจิกายน 2549 ที่วัดปทุมวัน อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยนำอาหารพร้อมรับประทาน ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน จำนวน 1,416 ชุด
- เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549 ที่อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยนำอาหารพร้อมรับประทาน ไปมอบให้ผู้ประสบอุทกภัยและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน จำนวน 1,750 ชุด
8.3) มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ได้จัดตั้งคลังอาหารและน้ำดื่ม หน่วยแพทย์ตรวจรักษาโรคเบื้องต้น หน่วยแพทย์เคลื่อนที่เร็วป้องกันโรคระบาดที่เกิดจากอุทกภัย และมอบอาหารเสริมพระราชทานในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดชัยนาท (อำเภอสรรพยา) จังหวัดสิงห์บุรี (อำเภออินทร์บุรี) จังหวัดอ่างทอง (อำเภอป่าโมก) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (อำเภอ บางไทร) จนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะสิ้นสุด
9. การตรวจเยี่ยมราษฎรผู้ประสบภัย
9.1) เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอารีย์ วงศ์อารยะ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์(นายธีระ สูตะบุตร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (พลเรือเอกธีระ ห้าวเจริญ) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายอนุชา โมกขะเวส) อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมทางหลวง รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (พลเอกไพโรจน์ พานิชสมัย) และคณะฯ ได้เดินทางไปตรวจสถานการณ์อุทกภัยและเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยแห่งละ จำนวน 500 ชุด รวมทั้งหมด 1,000 ชุด
9.2) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทน์เสนะ) และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้เดินทางไปมอบถุงยังชีพจำนวน 235 ชุด มุ้ง 135 หลัง ขนมและของเล่นเด็กให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ตำบลพิมลราษฎร์ และตำบลละหาน อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี
10. การติดตามการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทน์เสนะ) ได้เป็นประธานฯประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย และดินถล่มปี 2549 ณ กระทรวงมหาดไทย โดยได้แจ้งให้จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัยให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ยึดหลักการทำงานที่ โปร่งใสเป็นธรรม ประหยัด มีประสิทธิภาพ ตามนโยบายของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) ดังนี้
1. ให้จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด โดยศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน แต่งตั้งคณะกรรมการด้านต่าง ๆ จำนวน 13 คณะ ให้สอดคล้องรองรับกับภารกิจของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) เพื่อรับผิดชอบในข้อมูลความเสียหายในแต่ละด้านและบูรณาการช่วยเหลือตามนโยบายของ คชอ.
2. คณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายของจังหวัด ดำเนินการสำรวจความเสียหาย และจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม/งบประมาณที่ต้องใช้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูความเสียหายต่างๆ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549
3. จังหวัดที่ประสบอุทกภัย 47 จังหวัด ประสานงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือผ่านส่วน ราชการที่รับผิดชอบ เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง พิจารณาและเพื่อนำเสนอคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ต่อไป
4. สำหรับจังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ราษฎรผู้ประสบภัยได้รับความเดือดร้อน ในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน จำเป็นอย่างยิ่งที่ทางราชการต้องดูแลเอาใจใส่และให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยมอบแนวทางปฏิบัติงานเพิ่มเติม ดังนี้
(1) ให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ระดับจังหวัด/อำเภอ/กิ่งอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แบ่งมอบภารกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้มีผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะฝ่ายประสานการปฏิบัติ ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ ฝ่ายปฏิบัติการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์
(2) จัดให้มีการประชุมติดตามผลการปฏิบัติงานเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองความต้องการและข้อร้องทุกข์ของประชาชนได้อย่างแท้จริง
(3) ให้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสถานีวิทยุทหาร วิทยุของรัฐ วิทยุชุมชนในพื้นที่ ในลักษณะข่าวต้นชั่วโมง ให้ทราบถึงความก้าวหน้าของการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และให้มีการรับแจ้งข้อร้องเรียนความเดือดร้อนจากประชาชนเพื่อเป็นการสื่อสาร 2 ทาง เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรีบแก้ไข หรือนำความช่วยเหลือไปให้ พร้อมกับรายงานผลการช่วยเหลือผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงให้ประชาชนทราบ
(4) จัดชุดเยี่ยมเยียนประชาชน ดูแลสุขภาพ ฟื้นฟูจิตใจ และช่วยเหลือสิ่งจำเป็นต่อการยังชีพ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ โดยฝ่ายปกครองร่วมกับสาธารณสุขและพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
(5) เร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยเฉพาะเงินช่วยเหลือผู้ที่เสียชีวิตจากอุทกภัย ให้แก่ญาติเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวในระหว่างที่ประสบภัย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 14 พฤศจิกายน 2549--จบ--