คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ครั้งที่ 3 ที่มีวงเงินเพิ่มขึ้น 43,955.08 ล้านบาท เป็นการกู้เงินใหม่ 13,955.08 ล้านบาท และการบริหารหนี้ 30,000 ล้านบาท ทำให้วงเงินรวมของแผนเพิ่มขึ้นจากเดิม 1,704,707.62 ล้านบาท เป็น 1,748,662.70 ล้านบาท
2. อนุมัติการกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ปรับปรุงครั้งที่ 3
3. อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ปรับปรุงครั้งที่ 3 แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ
4. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นรองประธานกรรมการ และมีปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน (1. นายปรีชา จรุงกิจอนันต์ 2. นายกำชัย จงจักรพันธ์ 3. นายอนุสรณ์ ธรรมใจ) เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นกรรมการและเลขานุการ ได้พิจารณาเห็นว่า ในปัจจุบัน รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจรวม 7 แห่ง มีความจำเป็นต้องบริหารหนี้เดิมและกู้เงินใหม่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 และได้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นประกอบด้วยแล้วจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ครั้งที่ 3 โดยเป็นการปรับปรุงแผนงานย่อย จำนวน 2 แผน ได้แก่ 1) แผนการบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และ 2) แผนการบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
1. แผนการบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจการปรับปรุงแผนฯ ครั้งนี้ได้บรรจุวงเงินการบริหารจัดการหนี้เงินกู้สำหรับสนับสนุนโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ที่ได้กู้เงินในปีงบประมาณ 2552 ไปแล้วจำนวน 30,000 ล้านบาท ในแผนการบริหารและจัดการหนี้เงินกู้เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และขอเพิ่มการดำเนินการโดยให้กระทรวงการคลังสามารถบริหารจัดการหนี้ที่เกิดตามแผนการกู้เงินใหม่ ในปีงบประมาณ 2553 ที่ได้บรรจุอยู่ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะแล้ว จำนวน 320,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินดำเนินการภายใต้แผนทั้งสิ้น 350,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ทั้งหมดเพื่อลดความเสี่ยงด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา
2. แผนการบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ
วงเงินเดิม 353,647.30 ล้านบาท ปรับเพิ่ม 13,955.08 ล้านบาท วงเงินหลังการปรับปรุง 367,602.38 ล้านบาทการปรับเพิ่มวงเงิน 13,955.08 ล้านบาท ดังกล่าวเป็นการกู้เงินใหม่ภายใต้แผนเงินกู้เพื่อดำเนินกิจการทั่วไปและอื่นๆ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การปรับเพิ่มวงเงินกู้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ 6 แห่ง จำนวน 11,390.24 ล้านบาท ประกอบด้วย การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เพื่อชดเชยยอดค้างชำระสำหรับนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน และสำหรับมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนระยะที่ 2 ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้รัฐวิสาหกิจกู้เงินแล้วเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขอปรับเพิ่มวงเงินกู้ จำนวน 2,164.83 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปีงบประมาณ 2553 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพกู้เงินดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน
สำนักงานธนานุเคราะห์ ขอบรรจุวงเงินกู้ จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุน รองรับสำหรับใช้หมุนเวียนรับจำนำในช่วงเปิดภาคการศึกษาในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2553 ที่คาดว่าจะมีประชาชนมาใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยสำนักงานธนานุเคราะห์อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการกู้เงินดังกล่าว
หลังการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ครั้งที่ 3 จะทำให้ภาพรวมของแผนฯ มีวงเงินเพิ่มขึ้น 43,955.08 ล้านบาท จากเดิม 1,704,707.62 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1,748,662.70 ล้านบาท เป็นการกู้เงินใหม่ 914,752.60 ล้านบาท และการบริหารหนี้ 833,910.10 ล้านบาท ซึ่งสรุปตามแผนงานย่อยได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท แผน วงเงิน วงเงินหลัง การเปลี่ยนแปลง แผนเดิม ปรับปรุงครั้งที่ 3 1. การบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศของรัฐบาล 673,000.00 673,000.00 - 2. การบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้ FIDF 139,171.02 139,171.02 - 3. การบริหารและจัดการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้าง 320,000.00 350,000.00 30,000.00 ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 4. การบริหารและจัดการเงินกู้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจ 353,647.30 367,602.38 13,955.08 4.1 การกู้เงินใหม่ 110,439.66 124,394.74 13,955.08 (1) เงินกู้ในประเทศทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศ 4,692.66 4,692.66 - (2) เงินกู้เงินบาทสมทบโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ 6,932.39 6,932.39 - (3) เงินกู้เพื่อลงทุน 33,892.79 33,892.79 - (4) เงินกู้เพื่อดำเนินกิจการทั่วไปและอื่นๆ 64,921.82 78,876.90 13,955.08 4.2 การบริหารและจัดการหนี้ 243,207.64 243,207.64 - 5. การก่อหนี้จากต่างประเทศ 3,438.80 (MUSD) 120,357.86 120,357.86 - 6. การบริหารหนี้ต่างประเทศ 2,815.18 (MUSD) 98,531.44 98,531.44 - รวม 1,704,707.62 1,748,662.70 43,955.08สำหรับประเด็นของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
1. ตามนัยมาตรา 35 (2) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอแผนการบริหาร หนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ และหากมีการปรับเปลี่ยนแผนระหว่างปีโดยไม่เกินวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการฯ และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ในการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ครั้งที่ 3 นี้เป็นการปรับวงเงินดำเนินการเพิ่มขึ้นจากวงเงินของแผนในครั้งก่อนที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ จึงต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการปรับปรุงแผนฯ ครั้งนี้ตามนัยที่กฎหมายกำหนด
2. การค้ำประกันที่กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการได้ตามที่พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 25 และมาตรา 28 ได้กำหนดให้ในปีงบประมาณหนึ่ง กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อเป็นเงินบาทได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ซึ่งในปีงบประมาณ 2553 มีกรอบวงเงินดังกล่าวเท่ากับ 340,000 ล้านบาท (งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 เท่ากับ 1,700,000 ล้านบาท)ซึ่งหากกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ปรับปรุงครั้งที่ 3 ตามกรอบวงเงินที่รัฐวิสาหกิจเสนอขอ จำนวน 317,500.78 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.68 แล้ว จะยังไม่เกินกว่ากรอบวงเงินที่กฎหมายกำหนดไว้ อย่างไรก็ดี หากมีโครงการในอนาคตที่รัฐบาลต้องค้ำประกันเงินกู้ก็จะต้องพิจารณาอย่างเข้มงวด เนื่องจากวงเงินตามกฎหมายที่เหลืออยู่ จะสามารถดำเนินการค้ำประกันได้อีกเพียงประมาณ 22,400 ล้านบาท เท่านั้น
3. ระดับของสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP หากมีการดำเนินการตามแผนฯ ที่ได้ปรับปรุงในครั้งนี้ทั้งหมดคาดว่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 49.81 และมีสัดส่วนภาระหนี้ต่องบประมาณ อยู่ในระดับร้อยละ 12.61 โดยในปี 2553 ใช้สมมติฐานให้อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเท่ากับร้อยละ 2.5 ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 2.0 ซึ่งยังคงอยู่ภายในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง คือ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60 และภาระหนี้ต่องบประมาณไม่เกินร้อยละ 15 ตามลำดับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 2 มีนาคม 2553--จบ--