คณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตรปี 2553 ครั้งที่ 7 ณ วันที่ 29 มีนาคม 2553 ประกอบด้วย สถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร สถานการณ์น้ำ การเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี 2552/2553 และการให้ความช่วยเหลือตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้
สถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร
1. ภัยแล้ง ช่วงภัย วันที่ 15 ธ.ค. 52 ถึง 9 มี.ค. 53 (ข้อมูล ณ วันที่ 26 มี.ค. 53) พื้นที่ประสบภัย 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ หนองคาย สระบุรี กาญจนบุรี สตูล และตรัง แยกเป็น
ด้านพืช พื้นที่ประสบภัย 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย น่าน แพร่ สุโขทัย ลำปาง อุตรดิตถ์ หนองคาย สระบุรี กาญจนบุรี สตูล และตรัง พื้นที่การเกษตรประสบภัย 157,576 ไร่ แบ่งเป็น พื้นที่ไม่เสียหาย 87,160 ไร่ อยู่ระหว่างเฝ้าระวัง 43,839 ไร่ และพื้นที่เสียหายแล้ว 23,577 ไร่ โดยช่วยเหลือด้วยเงินทดรองราชการอำเภอแล้ว 0.46 ล้านบาท จะขอเงิน ทดรองราชการในอำนาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีก 19.31 ล้านบาท
ด้านปศุสัตว์ พื้นที่ประสบภัย 4 จังหวัด คือ จังหวัดลำปาง สุโขทัย นครสวรรค์ และตรัง เกษตรกร 572 ราย สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ 6,059 ตัว แบ่งเป็น โค 5,769 ตัว กระบือ 101 ตัว แพะ 189 ตัว กรมปศุสัตว์ได้สนับสนุนพืชอาหารสัตว์ จำนวน 73.2 ตัน เพื่อช่วยเหลือแล้ว
2. ศัตรูพืช โรคพืช ระบาด
2.1 เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 1,240 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามโครงการช่วยเหลือเกษตรกรแก้ไขปัญหาโดยการตัดวงจรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคเขียวเตี้ย และโรคใบหงิก
การดำเนินการ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น จำนวน 3,763 ราย พื้นที่ 68,718 ไร่ อยู่ระหว่างประชาคม โดยผ่านการประชาคมแล้ว จำนวน 3,410 ราย พื้นที่ 61,576 ไร่ และผ่านการประชุม ก.ช.ภ.อ. แล้ว จำนวน 2,993 ราย พื้นที่ 52,119 ไร่ ผ่าน ก.ช.ภ.จ.แล้ว จำนวน 805 ราย พื้นที่ 10,415 ไร่ ส่วนที่ผ่านประชาคมแล้วอยู่ระหว่างกรมพัฒนาที่ดินไถกลบพื้นที่
2.2 เพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 อนุมัติงบประมาณ วงเงิน 65.66 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการการจัดการเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง พื้นที่ดำเนินในโครงการ จำนวน 600,000 ไร่
การดำเนินการ จากการดำเนินการป้องกันและกำจัด โดยการให้ความรู้เกษตรกร 44,562 ราย อบรมเจ้าหน้าที่ 2,645 ราย แช่ท่อนพันธุ์ 161,004 ไร่ ฉีดพ่นสารเคมี 89,307 ไร่ ตั้งศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน 578 ศูนย์ ผลิตแมลงช้างปีกใสในพื้นที่ระบาด และการป้องกันกำจัดแบบผสมผสาน มีพื้นที่ระบาดคงเหลือ จำนวน 195,066 ไร่ (ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 31,138 ไร่)และพื้นที่นอกโครงการ พบการระบาด จำนวน 846,946 ไร่ (ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 52,658 ไร่)
สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ 29 มีนาคม 2553
1. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ
สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ (29 มีนาคม 2553) มีปริมาณน้ำทั้งหมด 42,453 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ คิดเป็นร้อยละ 58 ของความจุอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งหมด (ปริมาณน้ำใช้การได้ 18,608 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 25 ของความจุอ่างฯ) น้อยกว่าปี 2552 (46,691 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 63) จำนวน 4,188 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 6 ของความจุอ่างฯ
ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สะสมในช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.52 ถึง 29 มี.ค. 53 จำนวน 5,348 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณระบายสะสมในช่วงฤดูแล้งตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.52 ถึง 29 มี.ค. 53 จำนวน 18,199 ล้านลูกบาศก์เมตร
หน่วย : ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำ ปริมาตรน้ำ ปริมาตรน้ำ ปริมาตรน้ำใช้การได้ ปริมาตรน้ำไหลลงอ่างฯ ปริมาณน้ำระบาย ในอ่างฯ ปี52 ในอ่างฯ ปี53 ปริมาตร %ความจุ ปริมาตร %ความจุ ปริมาตร %ความจุ วันนี้ เมื่อวาน สะสม วันนี้ เมื่อวาน สะสม น้ำ อ่างฯ น้ำ อ่างฯ น้ำ อ่างฯ 1 พ.ย. 1 พ.ย. 52 52 ภูมิพล 6,576 49 5,535 41 1,735 13 0 0 546 22 25 4,010 สิริกิติ์ 5,652 59 3,943 41 1,093 11 2.63 4.53 680 13.07 14.99 2,653 ภูมิพล+สิริกิติ์ 12,228 53 9,478 41 2,828 12 2.63 4.53 1,227 35.07 39.99 6,663 ป่าสักชลสิทธิ์ 444 46 330 34 327 34 0 0.58 224 5.22 5.63 709
อ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุอ่างฯ จำนวน 1 อ่าง คือ ศรีนครินทร์(83)
อ่างเก็บน้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยกว่าร้อยละ 30 ของความจุอ่างฯ จำนวน 5 อ่าง ได้แก่ แม่กวง (19) น้ำอูน(26) ทับเสลา(18) ขุนด่านปราการชล(29) และคลองสียัด(27)
สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำภาคตะวันออก
จังหวัดชลบุรี มีอ่างเก็บน้ำ 7 อ่าง รวมปริมาณน้ำ 82.0 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 46 ของความจุอ่างฯ ปริมาณน้ำใช้การได้ 67 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 38 ของความจุอ่างฯ
จังหวัดระยอง มีอ่างเก็บน้ำ 4 แห่ง รวมปริมาณน้ำ 379.6 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 73 ของความจุอ่างฯ ปริมาณน้ำใช้การได้ 351 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 67 ของความจุอ่างฯ
2. สภาพน้ำท่า
ภาคเหนือ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แม่น้ำมูล ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย
ภาคกลาง แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำป่าสัก ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย
ภาคใต้ แม่น้ำท่าตะเภา แม่น้ำตาปี แม่น้ำโก-ลก ปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย
3. คุณภาพน้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มี.ค. 53)
กรมชลประทาน ติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ดังนี้
แม่น้ำ จุดเฝ้าระวัง ค่า DO(mg/l) ค่า Sal (g/l) เกณฑ์ เจ้าพระยา ท่าน้ำจังหวัดนนทบุรี 1.49 0.26 ค่า DO ต่ำกว่าเกณฑ์ ท่าจีน ที่ว่าการอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 1.28 0.13 ค่า DO ต่ำกว่าเกณฑ์ แม่กลอง ปากคลองดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี 4.06 0.10 ปกติ
หมายเหตุ ค่า Do หมายถึง ค่าออกซิเจนละลายในน้ำ ไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิกรัม/ลิตร
ค่า Sal หมายถึง ค่าความเค็มของน้ำ สำหรับการเกษตรไม่เกิน 2 กรัม/ลิตร
การจัดสรรน้ำและการปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2552/2553
แผนการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 2552/2553 (วันที่ 1 พ.ย.52-30 เม.ย. 53) จำนวน 20,720 ล้าน ลบ.ม. (เพื่อการอุปโภคบริโภค 1,836 ล้าน ลบ.ม. รักษาระบบนิเวศน์และอื่นๆ 5,539 ล้าน ลบ.ม. เกษตรกรรม 13,176 ล้าน ลบ.ม. และอุตสาหกรรม 169 ล้าน ลบ.ม.) โดยจัดสรรน้ำในลุ่มเจ้าพระยา 8,000 ล้าน ลบ.ม. (เขื่อนภูมิพลและสิริกิติ์ 6,000 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน 400 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนป่าสักฯ 600 ล้าน ลบ.ม. และลุ่มน้ำแม่กลอง 1,000 ล้าน ลบ.ม.)
ผลการจัดสรรน้ำ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 52 ถึง 22 มี.ค.53 จัดสรรน้ำไปแล้ว 18,464 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 89 ของแผนการจัดสรรน้ำ ยังเหลือปริมาณน้ำที่ใช้ได้ตามแผน 2,256 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 11 ส่วนในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 29 มีนาคม 2553 มีการใช้น้ำไปแล้ว 8,774 ล้าน ลบ.ม. (เกินแผนที่กำหนดไว้ 774 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 110 ของแผนการจัดสรรน้ำในลุ่มเจ้าพระยา)
ทั้งนี้ เนื่องจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย และเกษตรกรเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังบ้างแล้ว และบางพื้นที่ข้าวอยู่ในระยะตั้งท้องและออกรวงซึ่งจะใช้น้ำน้อย ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำสอดคล้องและเหมาะสมกับปริมาณน้ำที่มีอย่างจำกัด กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนทั้งสอง ตั้งแต่วันที่ 22-31 มีนาคม 2553 จากวันละ 52 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นวันละ 39 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะทำให้น้ำในคลองส่งน้ำสายต่างๆ ลดลง โดยกรมชลประทานได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาทุกจังหวัด เพื่อทำการชี้แจงและแจ้งเตือนเกษตรกรที่จะทำนาปรังครั้งที่ 2 ให้ทราบถึงปริมาณน้ำที่จะไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนการทำนาปรังครั้งที่ 2 ต่อไปแล้ว
คาดการณ์พื้นที่ปลูกพืชฤดูแล้งทั้งประเทศ ปี 2552/2553 จำนวน 12.28 ล้านไร่ แยกเป็น ข้าวนาปรัง 9.50 ล้านไร่ (ในเขตพื้นที่ชลประทาน 7.50 ล้านไร่ และนอกเขตพื้นที่ชลประทาน 2.00 ล้านไร่) พืชไร่ พืชผัก 2.78 ล้านไร่ (ในเขตพื้นที่ชลประทาน 0.78 ล้านไร่ และนอกเขตพื้นที่ชลประทาน 2.00 ล้านไร่) และมีแผนการจัดสรรน้ำให้พืชอื่นๆ เช่น ไม้ยืนต้น อ้อย บ่อปลา บ่อกุ้ง จำนวน 3.64 ล้านไร่ (ในเขตพื้นที่ชลประทาน)
ผลการปลูกพืชฤดูแล้ง ณ วันที่ 26 มี.ค. 53 พื้นที่ปลูกแล้วทั้งสิ้น จำนวน 17.16 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 140 ของพื้นที่คาดการณ์ แยกเป็น ข้าวนาปรัง 14.17 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 149 ของพื้นที่คาดการณ์ (ในเขตพื้นที่ชลประทาน 8.86 ล้านไร่ และนอกเขตพื้นที่ชลประทาน 5.31 ล้านไร่) พืชไร่ พืชผัก 2.99 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 108 ของพื้นที่คาดการณ์ (ในเขตพื้นที่ชลประทาน 0.78 ล้านไร่ และนอกเขตพื้นที่ชลประทาน 2.38 ล้านไร่)
พืชอื่นๆ จำนวน 3.84 ล้านไร่
การให้ความช่วยเหลือ
1. สนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ จำนวน 698 เครื่อง ในพื้นที่ 40 จังหวัด ดังนี้
ภาคเหนือ 15 จังหวัด จำนวน 242 เครื่อง ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ (37 เครื่อง) ลำพูน (10 เครื่อง) แม่ฮ่องสอน (18 เครื่อง) ลำปาง (28 เครื่อง) น่าน (10 เครื่อง) พะเยา (5 เครื่อง) เชียงราย (7 เครื่อง) พิษณุโลก (14 เครื่อง) พิจิตร (16 เครื่อง) นครสวรรค์ (18 เครื่อง) อุตรดิตถ์ (4 เครื่อง)ตาก (16 เครื่อง) สุโขทัย (16 เครื่อง) แพร่ (33 เครื่อง) และกำแพงเพชร (10 เครื่อง)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด จำนวน 248 เครื่อง ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี (8 เครื่อง) หนองคาย (17 เครื่อง) หนองบัวลำภู (7 เครื่อง) เลย (6 เครื่อง) สกลนคร (14 เครื่อง) ขอนแก่น (15 เครื่อง) มหาสารคาม (26 เครื่อง) ร้อยเอ็ด (87 เครื่อง) กาฬสินธุ์ (58 เครื่อง) และชัยภูมิ (10 เครื่อง)
ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก 12 จังหวัด จำนวน 175 เครื่อง ได้แก่ จังหวัด นครนายก (14 เครื่อง) ปราจีนบุรี (29 เครื่อง) ฉะเชิงเทรา (22 เครื่อง) จันทบุรี (6 เครื่อง) ตราด (1 เครื่อง) เพชรบูรณ์ (6 เครื่อง) ชัยนาท (41 เครื่อง) ลพบุรี (25 เครื่อง) สิงห์บุรี (10 เครื่อง) สระบุรี (3 เครื่อง) พระนครศรีอยุธยา(11 เครื่อง) และอ่างทอง (7 เครื่อง)
ภาคใต้ 3 จังหวัด จำนวน 33 เครื่อง ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช (30 เครื่อง) กระบี่ (1 เครื่อง) พังงา (2 เครื่อง)
2. สนับสนุนรถบรรทุกน้ำ จำนวน 12 คัน ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา (1 คัน) จันทบุรี (8 คัน) และตราด(3 คัน)
3. การปฏิบัติการฝนหลวง สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ได้เริ่มตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภาค เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้งปี 2553 ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2553 เป็นต้นมา จำนวน 5 ศูนย์ ประจำภาคต่างๆ และได้ส่งเครื่องบินไปตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงแล้ว จำนวน 8 หน่วย โดยมีแผนที่จะจัดตั้งเพิ่มในวันที่ 1 เมษายน 2553 จำนวน 2 หน่วย ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลกและจังหวัดนครราชสีมา ดังนี้
ศูนย์ฝนหลวง หน่วยฯ พื้นที่รับผิดชอบ วันเริ่ม วันเริ่ม เครื่องบินที่ใช้ ประจำภาค ฝนหลวง ตั้งหน่วย ปฏิบัติการ ปฏิบัติการ (สนามบิน) 1.เหนือ - เชียงใหม่ ภาคเหนือตอนบน 9 มี.ค.53 11 มี.ค.53 - Casa 2 ลำ King Air 1 ลำ - พิษณุโลก* ภาคเหนือตอนล่าง 1 เม.ย.53 - - CN-235 1 ลำ Caravan 1 ลำ 2.กลาง - นครสวรรค์ ภาคกลาง 5 มี.ค.53 10 มี.ค.53 - Casa 2 ลำ Caravan 1 ลำ 3.ตะวันออก เฉียงเหนือ - ขอนแก่น อีสานตอนบน 9 มี.ค.53 15 มี.ค 53 - Casa 2 ลำ - อุบลราชธานี อีสานตอนล่าง 9 มี.ค.53 16 มี.ค 53 - Caravan 2 ลำ - นครราชสีมา* อีสานตอนล่าง 1 เม.ย.53 - - BT-67 1 ลำ 4.ตะวันออก - ระยอง ภาคตะวันออก 19 ก.พ.53 20 ก.พ.53 - Casa 1 ลำ Porter 2 ลำ - จันทบุรี ภาคตะวันออก 4 มี.ค.53 8 มี.ค.53 - Caravan 3 ลำ 5.ใต้ - ประจวบคีรีขันธ์ ภาคใต้ตอนบน 25 ม.ค 53 27 ม.ค 53 - Caravan 3 ลำ - สุราษฎร์ธานี ภาคใต้ตอนล่าง 15 มี.ค 53 17 มี.ค 53 - AU-23 2 ลำ รวม 5 ศูนย์ รวม 8 หน่วย รวม 5 ภาค รวม 21 ลำ
ผลการปฏิบัติการฝนหลวงประจำสัปดาห์ ช่วงวันที่ 18 — 25 มีนาคม 2553 ขึ้นปฏิบัติการ จำนวน 204 เที่ยวบิน แต่เนื่องจากสภาพความชื้นสัมพันธ์ในอากาศโดยทั่วไปต่ำกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสมตลอดทั้งสัปดาห์ แต่จากการติดตามและช่วงชิงปฏิบัติการ ทำให้การปฏิบัติการฝนหลวงมีฝนตกในพื้นที่เป้าหมาย 30 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ กำแพงเพชร แพร่ นครสวรรค์ ลพบุรี ขอนแก่น หนองคาย อุดรธานี เลย สกลนคร มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครพนม บุรีรัมย์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุบลราชธานี สุรินทร์ ระยอง จันทบุรี สระแก้ว ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตราด เพชรบุรี ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา และกระบี่ วัดปริมาณน้ำฝนสูงสุดได้ 56.6 มิลลิเมตร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 30 มีนาคม 2553--จบ--