การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 31, 2010 16:19 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้า

และอุตสาหกรรมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์

คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้ง 3 ข้อ ดังนี้

1. อนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และนำบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไป

2. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจตามข้อ 1 ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ขอให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และรัฐสภาพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง (โดยที่มาตรา 190 วรรคสองของรัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติให้ หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ดังนั้น การที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติตามข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ในประเด็นนี้จึงอาจจะขัดรัฐธรรมนูญฯ)

3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจตามข้อ 1

ข้อเท็จจริง

กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า

1. ฟิลิปปินส์ผูกพันสินค้าข้าวภายใต้ AFTA ไว้ในบัญชีสินค้าอ่อนไหวสูง มีอัตราภาษีปัจจุบันร้อยละ 40 ไปจนถึงปี 2012 (2555) ซึ่งตามข้อผูกพันฟิลิปปินส์จะต้องเจรจาอัตราภาษีสุดท้ายว่าจะลดเหลือเท่าใด โดยในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ระหว่างวันที่ 13-14 สิงหาคม 2552 ณ กรุงเทพมหานคร ฟิลิปปินส์ยื่นข้อเสนอตารางการลดภาษีสินค้าข้าว โดยขอคงอัตราร้อยละ 40 ในปัจจุบันไว้จนถึง ณ วันที่ 1 มกราคม 2015 (2558) จึงจะลดลงเหลือร้อยละ 35 ซึ่งไทยได้แจ้งต่อที่ประชุมในเบื้องต้นว่ายังไม่สามารถตกลงได้ และต้องนำกลับมาพิจารณาต่อไป

2. กระทรวงพาณิชย์ได้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) แล้วมีมติว่าไม่สามารถรับข้อเสนอการลดภาษีของฟิลิปปินส์ได้ และจะยังไม่ให้สัตยาบันความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) จนกว่าฟิลิปปินส์จะปรับปรุงการลดภาษีและหากฟิลิปปินส์ไม่สามารถปรับปรุงแผนการลดภาษีของตนได้ ต้องเจรจาให้ฟิลิปปินส์ชดเชยโดยการนำเข้าข้าวจากไทยจำนวน 367,000 ตัน (เท่ากับปริมาณนำเข้าจากไทยเฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลัง) จำแนกเป็นข้าวคุณภาพดี 50,000 ตัน บวกข้าวคุณภาพต่ำอีก 317,000 ตัน ตามที่ไทยเสนอไว้

3. ไทยและฟิลิปปินส์ได้มีการหารือจนสามารถสรุปร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ และโดยที่ไทยเป็นประเทศที่เหลือเพียงประเทศเดียวที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement ATIGA) ซึ่งได้ลงนามไปตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศไทย ทำให้จนบัดนี้ความตกลงฯ ดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิมมาก เนื่องจากไทยต้องสรุปผลการจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์เพื่อให้ฟิลิปปินส์ชดเชยกรณีฟิลิปปินส์ชะลอการลดภาษีข้าวก่อนเพื่อรักษาผลประโยชน์ในสินค้าข้าวซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย

สาระสำคัญของเรื่อง

1. ฟิลิปปินส์จะนำเข้าข้าวทั่วไปจากไทยในปริมาณ 367,000 ตันต่อปีซึ่งถือเป็นปริมาณขั้นต่ำที่ฟิลิปปินส์จะนำเข้าจากไทย เว้นแต่กรณีที่ราคาข้าวในตลาดโลกและ/ หรือผลผลิตภายในประเทศทำให้ฟิลิปปินส์ไม่สามารถรักษาระดับการค้าข้าวดังกล่าว และหากฟิลิปปินส์จำเป็นต้องนำเข้าข้าวคุณภาพดี ฟิลิปปินส์ต้องให้ความสำคัญ (priority) กับการนำเข้าข้าวคุณภาพดีจากไทย จำนวน 50,000 ตันซึ่งนับรวมอยู่ในปริมาณ 367,000 ตันด้วย

2. แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้านอาหารแห่งชาติของกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ กับกรมการค้าต่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย เกี่ยวกับการค้า การบริโภค และราคาข้าว

3. จัดตั้งกลไกในการหารือเพื่อปรับปรุงการค้าข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. อำนวยความสะดวกด้านการเชื่อมโยงทางธุรกิจโดยตรงระหว่างผู้ส่งออกข้าวและผู้นำเข้าข้าวของสองประเทศ

5. บันทึกความเข้าใจมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ลงนามและสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2557

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 30 มีนาคม 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ