การค้าระหว่างประเทศของฟิลิปปินส์ เดือน กรกฎาคม 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 25, 2010 17:45 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. การค้าระหว่างประเทศในเดือนมกราคม — กรกฎาคม 2553 เปรียบเทียบกับปี 2552

มูลค่า : พันล้านเหรียญสหรัฐ

                            ม.ค.-ก.ค.53    ม.ค.—ก.ค.52     % Change
             การค้ารวม         59.133          44.943        31.57
             การส่งออก         28.223          20.538        37.42
             การนำเข้า          30.91          24.405        26.66
             ดุลการค้า          -2.687          -3.867        -30.51

1.1 ปริมาณการค้า ปริมาณการค้ารวมเดือน มกราคม - กรกฎาคม 2553 มีมูลค่า 59.133 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.57 จาก 44.943 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเดียวกันของปี 2552 โดยเป็นการส่งออก 28.223 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ นำเข้า 30.910 พันล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับเดือนกรกฎาคม 2553 มีปริมาณการค้ารวม 9.179 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.09 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2552 ส่วนมูลค่าส่งออกและนำเข้าเดือนกรกฎาคม 2553 เท่ากับ 4.502 และ 4.677 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ

1.2 การส่งออก ในช่วงเดือนมกราคม — กรกฎาคม 2553 ฟิลิปปินส์ส่งออกมูลค่า 28.223 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.42 จาก 20.538 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเดียวกันของปี 2552

สินค้าส่งออกที่สำคัญของฟิลิปปินส์ยังคงเป็นสินค้าอีเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการส่งออกรวม 17.035 พันล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.3 ของมูลค่าส่งออกรวม) เพิ่มขึ้นจาก 11.673 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่งออกได้ในระยะเดียวกันของปี 2552 คิดเป็นร้อยละ 45.92 สำหรับการส่งออกในเดือนกรกฎาคมนี้มีมูลค่าการส่งออก 4.502 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาร้อยละ 35.8 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่เจ็ดติดต่อกัน โดยที่สินค้าอีเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักมีมูลค่าส่งออก 2,861.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาร้อยละ 49.4 เนื่องจากตลาดต่างประเทศยังมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งตลาดโลกมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 37 และยังสามารถนำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆได้อีกมากมาย ลำดับที่สองได้แก่เสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มซึ่งมีมูลค่าส่งออก 145.3 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.0 ส่วนลำดับต่อมาได้แก่น้ำมันมะพร้าวซึ่งมีมูลค่าส่งออก 138.0 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาร้อยละ 72.5 ตั้งแต่มกราคม — กรกฎาคม 2553 ตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของฟิลิปปินส์กลับมาเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 16.32 ส่วนญี่ปุ่นเลื่อนลงมาเป็นลำดับที่สอง มีสัดส่วนร้อยละ 15.43 ลำดับต่อมาได้แก่ สิงคโปร์ จีน และฮ่องกง มีสัดส่วนร้อยละ 11.74, 9.31 และ 8.45 ตามลำดับ

1.3 การนำเข้า ในช่วงเดือนมกราคม — กรกฎาคม 2553 การนำเข้าของฟิลิปปินส์มีมูลค่า 30.910 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.66 จาก 24.405 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สินค้านำเข้าอันดับหนึ่งคือ สินค้าอีเล็กทรอนิกส์ นำเข้ามูลค่า 10.402 พันล้านเหรียญสหรัฐ (มีสัดส่วนร้อยละ 33.6 ของการนำเข้ารวม) นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.63 จากปีที่ผ่านมาซึ่งนำเข้า 8.695 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลำดับที่สองได้แก่น้ำมันเชื้อเพลิง นำเข้ามูลค่า 5.443 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.36 จาก 3.906 พันล้านเหรียญสหรัฐของเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ส่วนเดือนกรกฎาคมนี้มีการนำเข้า 4.677 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาร้อยละ 16.2 โดยนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 ที่สำคัญได้แก่ อุปกรณ์ด้านโทรคมนาคมและไฟฟ้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 ลำดับต่อมาได้แก่ อุปกรณ์เกี่ยวกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.7 ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.8 เพราะราคาน้ำมันดูไบเพิ่มขึ้นจากบาร์เรลละ 65.1 เป็น 72.1 เหรียญสหรัฐ สำหรับสินค้าข้าวเดือนนี้นำเข้า 126.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อรวมตั้งแต่มกราคม-กรกฎาคม 2553 นำเข้าข้าวแล้วเป็นมูลค่า 1,405.6 เหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่าระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งนำเข้า 869.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 61.6

1.4 ดุลการค้า

ตั้งแต่มกราคม — กรกฎาคม 2553 ฟิลิปปินส์มีการนำเข้ามากกว่าการส่งออกทำให้มีการขาดดุล 2.687 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังต่ำกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งขาดดุล 3.867 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 30.51

1.5 ประเทศคู่ค้าสำคัญของฟิลิปปินส์

คู่ค้าที่สำคัญของฟิลิปปินส์ในเดือนนี้ ลำดับแรกยังคงเป็นญี่ปุ่นซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 13.80 ส่วนสหรัฐอเมริกาเลื่อนลงมาเป็นอันดับสองมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 13.39 ส่วนอันดับที่3, 4และ5 ได้แก่ สิงคโปร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน และเกาหลีใต้ ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 10.78, 8.60 และ 5.85 ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยคงอยู่ในลำดับที่ 7 เช่นเดียวกับเดือนที่ผ่านมา โดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 5.43

2. การค้าระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์เปรียบเทียบกับระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมา

มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ

                                          ม.ค.— ก.ค. 53     ม.ค.- ก.ค.52      % Change
          การค้ารวม                             4,172.00         2,364.30    76.46
          ไทยส่งออกไปฟิลิปปินส์                     2,854.80         1,540.30    85.35
          ไทยนำเข้าจากฟิลิปปินส์                    1,317.20              824    59.85
          ดุลการค้า                              1,537.60            716.3    114.66

2.1 ปริมาณการค้า

ปริมาณการค้าระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ในช่วงเดือนมกราคม - กรกฎาคม 2553 มีมูลค่า 4,172 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 76.46 จาก 2,364.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเดียวกันของปี 2552 โดยเป็นการส่งออก 2,854.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 1,317.2 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในเดือนกรกฎาคม 2553 มีปริมาณการค้ารวม 594.0 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.0 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2552 ส่วนการส่งออกและนำเข้าเดือนนี้มีมูลค่า 401.2 และ 192.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ

2.2 การส่งออก

ในช่วงเดือนมกราคม — กรกฎาคม 2553 ไทยส่งสินค้าออกไปฟิลิปปินส์เป็นมูลค่า 2,854.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 85.35 จาก 1,540.3 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2552 เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าสินค้าไทยส่งไปฟิลิปปินส์กับมูลค่าที่ฟิลิปปินส์นำเข้าจากทุกประเทศ คิดเป็นร้อยละ 9.24

สินค้าไทยส่งออกไปฟิลิปปินส์ที่สำคัญได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มีมูลค่า 574.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นร้อยละ 20.1 ของมูลค่าการส่งออกรวมจากไทยไปฟิลิปปินส์) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 85.01 ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ลำดับที่สองคือน้ำมันสำเร็จรูป มีมูลค่าส่งออก 316.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นร้อยละ 11.0 ของมูลค่าการส่งออกรวม) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 438.14 สินค้าเกษตรที่สำคัญได้แก่ ข้าวมีมูลค่าส่งออก 231.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นร้อยละ 8.1 ของมูลค่าการส่งออกรวม) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 810.32 เนื่องจากผู้ส่งออกไทยสามารถประมูลขายข้าวให้รัฐบาลฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังส่งออกน้ำตาลได้เพิ่มขึ้น จาก 27.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 114.1 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 314.32 ทั้งนี้เพราะฟิลิปปินส์ประสบภาวะแห้งแล้ง ผลิตน้ำตาลได้ไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภค

2.3 การนำเข้า

ในช่วงเดือนมกราคม — กรกฎาคม 2553 ไทยนำเข้าจากฟิลิปปินส์มูลค่า 1,317.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.85 จากระยะเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งนำเข้ามูลค่า 824.0 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าสินค้าที่ฟิลิปปินส์ส่งมายังไทยคิดเป็นร้อยละ 4.67 ของมูลค่าส่งออกรวมของฟิลิปปินส์

สินค้านำเข้าจากฟิลิปปินส์ที่สำคัญอันดับแรกคือ แผงวงจรไฟฟ้ามีมูลค่า 237.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นร้อยละ 18.0 ของมูลค่านำเข้ารวม) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งนำเข้ามูลค่า 150.8 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 57.28 ลำดับที่สองได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ นำเข้าเป็นมูลค่า 205.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นร้อยละ 15.6 ของมูลค่านำเข้ารวม) เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งนำเข้ามูลค่า 98.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 108.98

2.4 ดุลการค้า

เนื่องจากไทยส่งออกไปฟิลิปปินส์มากกว่านำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์ ในช่วงเดือนมกราคม — กรกฎาคม 2553 ฟิลิปปินส์ขาดดุลการค้ากับไทยเป็นมูลค่า 1,537.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขาดดุลสูงกว่าระยะเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ขาดดุล 716.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 114.66

3. การคาดการณ์ภาวะการค้า

รัฐบาลฟิลิปปินส์คาดว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จะชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7.9 ลดลงมาที่ประมาณร้อยละ 6.7-7.7 เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากสภาวะอากาศแห้งแล้ง แต่ก็ได้รับการชดเชยจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น และ เงินที่ส่งมาจากแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้านการบริโภคภายในประเทศ ส่วนผลผลิตการเกษตรที่ได้รับความเสียหายนอกจากข้าวซึ่งได้รับความเสียหายประมาณ 7.5 แสนตัน ก็เป็นข้าวโพดที่คาดว่าปีหน้าจะขาดแคลนประมาณ 5-8 แสนตัน ซึ่งก็จะเป็นโอกาสของไทย การส่งออกของไทยไปฟิลิปปินส์ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคมชาวฟิลิปปินส์จะซื้อของขวัญคริสต์มาสให้แก่คนในครอบครัวญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเป็นจำนวนมาก สำหรับสินค้าไทยที่ยังมีศักยภาพในการส่งออกไปฟิลิปปินส์เป็นอันดับหนึ่งได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบส่งออกได้เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 85.01 ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพราะยังมีความต้องการซื้อเพื่อชดเชยรถยนต์ที่เสียหายจากพายุใต้ฝุ่น สินค้าอื่นที่มีศักยภาพรองลงมา ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป ข้าว น้ำตาล และแผงวงจรไฟฟ้า

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ