นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกา เกือบทุกประเทศต่างก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว ยกเว้นประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กลับมีเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจีนมักถูกกล่าวหาว่า วิกฤตเศรษฐกิจเกิดจากค่าเงินหยวนของจีนไม่ตรงกับค่าเงินที่แท้จริง ทำให้สินค้าส่งออกของจีนถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาหรือยุโรป ทำให้เกิดการขาดดุลการค้าอย่างมหาศาล ประเทศที่พัฒนาแลัวจึงมีความพยายามใช้มาตรการต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมสร้างความกดดันให้ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มค่าเงินหยวนขึ้น ซึ่งการใช้มาตรการต่างๆ นั้น ไม่เป็นผลกระทบเพียงประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ค่าเงินเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังส่งผลไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย
ในมุมมองของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศที่พัฒนาแล้วเช่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ได้ปรับนโยบายด้านการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ แต่ประเด็นการแก้ปัญหาด้านการเงินของประเทศเหล่านั้น ไม่อาจใช้นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งต่ำมากอยู่แล้วลงได้ ดังนั้น วิธีการอื่นที่เลือกใช้คือ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะเข้าซื้อสินค้าประเภทการเงิน Financial Products (พันธบัตร หุ้น ฯลฯ) ซึ่งจะทำให้ค่าเงินของประเทศลดลงเอง นอกจากนี้ รัฐบาลประเทศที่พัฒนาแล้วยังเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทางตรง เพื่อทำให้ค่าเงินลดลงจนสามารถแข่งขันในเรื่องการส่งออกได้ อย่างไรก็ตาม Emerging Country (ประเทศที่เติบโตเร็ว) ไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มค่าเงินเพื่อช่วยสร้างความมั่นคงกับการส่งออกของประเทศพัฒนาแล้ว สถานการณ์ข้างต้นจึงเป็นเหตุให้เกิดสงครามค่าเงินขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ สหรัฐอเมริกาได้ลดความกดดันด้านค่าเงินกับจีนลงโดยไม่ลงประกาศ “Report on International Economic and Exchange Rate Policies” หมายถึง สหรัฐอเมริกาจะลดความกดดันให้จีนเพิ่มค่าเงิน ซึ่งรัฐบาลจีนจะเป็นผู้ดำเนินนโยบายการเงินเพื่อสร้างความสมดุลให้กับเศรษฐกิจโลก จะกำหนดให้เงินหยวนมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ การเพิ่มค่าเงินหยวนต้องสะท้อนมาจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริงของจีน พร้อมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมในการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน และประการสำคัญ ต้องการลดข้อขัดแย้งกับประเทศสหรัฐอเมริกาในเรื่องของค่าเงิน ผลของการทำสงครามค่าเงินของประเทศยักษ์ใหญ่ ได้ส่งผลกระทบกับประเทศไทยโดยตรง ทำให้ค่าเงินบาทของไทยเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 10 และเมื่อเทียบกับเงินหยวนของจีนแล้ว เงินบาทไทย แข็งค่ามากกว่า ดังนั้น ผู้นำเข้าสินค้าไทยในจีนจึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทของไทยที่แข็งขึ้น ทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงขึ้น สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้นำเข้าหลายรายหยุดนำเข้าสินค้าไทย หรือนำเข้าสินค้าไทยน้อยลง ส่วนข้อดีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ก็คือ ทำให้นักลงทุนไทยเข้ามาลงทุนในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดีในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
อัตราแลกเปลี่ยน สกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ
ช่วงเวลา อัตราแลกเปลี่ยน % ปี 2005 7.9735 - ปี 2006 8.277 - ปี 2007 7.607 - ปี 2008 6.948 - ธันวาคม 2009 6.8279 (ปีฐาน) ปี 2009 6.832 - มกราคม 2010 6.8273 0.01% กุมภาพันธ์ 2010 6.827 0.01% มีนาคม 2010 6.8263 0.03% เมษายน 2010 6.8262 0.02% พฤษภาคม 2010 6.8274 0.01% มิถุนายน 2010 6.8165 0.17% กรกฎาคม 2010 6.7775 0.74% สิงหาคม 2010 6.7901 0.55% กันยายน 2010 6.7462 1.20% ตุลาคม 2010 6.6732 2.27% พฤศจิกายน 2010 6.6589 2.48% ที่มา : ธนาคารกลางจีน (http://xxw3441.blog.163.com/blog/static/75383624201099321575/)ที่มา: http://www.depthai.go.th