๑. ภาวะเศรษฐกิจและการค้าในช่วง ๒ สัปดาห์หลังของเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ในภาพรวมกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย โดย ISTAT ได้รายงานภาวะเศรฐกิจดังนี้
๑.๑ อัตราเงินเฟ้อ ในเดือน พฤษภาคม ๒๕๕๔ คงที่อยู่ที่ ๒.๘% (สูงสุดนับแต่พย.๒๕๕๑) โดยเฉพาะสินค้าอาหารที่มีอัตราเงินเฟ้อถึง ๒.๙% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่เท่ากับ ๒.๒% สูงสุดนับแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒
๑.๒ ดัชนีราคาผู้บริโภค ระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือ ๐.๑%
๑.๓ ค่าจ้างแรงงานรายชั่วโมง ในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ เพิ่มสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ๐.๑%
๑.๔ อัตราการว่างงาน ในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ลดลงจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ที่เท่ากับ ๘.๓% เป็น ๘.๑% (แรงงานที่มีอายุระหว่าง ๑๕-๒๔ ปี มีอัตราการว่างงานลดลงน้อยมากคือลดลงจาก ๒๘.๖% ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เป็น ๒๘.๕%)
๑.๕ คำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมและเงินหมุนเวียน (turnover) ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้น ๘.๑% และ ๒% ตามลำดับเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งถือว่าดีที่สุดนับนับแต่มกราคม ๒๕๔๙ และหากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนปรากฏว่าเพิ่มขึ้น ๒๑.๒% และ ๑๒.๒% ตามลำดับ
๑.๖ GDP ในช่วงไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้น ๐.๑% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น สเปน (+๐.๓%) สหรัฐอเมริกา (+๐.๔%) สหราชอาณาจักร(+๐.๕%) ฝรั่งเศส (+๑%) และเยอรมัน (+๑.๕%)
ทั้งนี้ภาคอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเจริญเติบโตชัดเจนได้แก่ภาคการเกษตร ส่วนภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการหยุดนิ่ง เนื่องจากมาตราการเข้มงวดด้านงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลมีผลกระทบทางลบต่อความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจของอิตาลี
๒. รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจอิตาลีได้เปิดเผยว่าในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๔ รัฐบาลจัดเก็บรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น ๔.๖% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับรายได้ภาษีในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินสดที่ได้จากการเรียกเก็บตามเช็คสั่งจ่ายค่าภาษีที่เพิ่มขึ้นถึง ๓๐.๔% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน นอกจากนี้ข้อมูลจากธนาคารแห่งอิตาลีปรากฏว่าในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ยอดหนี้สินของอิตาลีลดลงเป็นครั้งที่สองภายในระยะเวลา ๒ เดือน โดยลดลงเหลือเพียง ๑.๘๖๘ ล้านล้านยูโร (trillion EURO) หรือต่ำกว่า ๑๒๐% ของ GDP
๓. ผู้ว่าธนาคารแห่งอิตาลี (นาย Mario Draghi) ได้เปิดเผยว่าเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจขยายตัวอิตาลีจำเป็นจะต้องตัดลดการใช้จ่ายและลดภาษีในการดำเนินธุรกิจและการจ้างงานลง โดยเฉพาะอัตราค่าจ้างแรงงานและบริษัทผู้ประกอบการ ในขณะเดียวกันก็จะต้องหาวิธีชดเชยรายได้ที่หายไปดังกล่าว ด้วยการเพิ่มมาตรการต่อสู้การหลบเลี่ยงภาษีให้มากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลต้องลดการใช้จ่ายลงให้ได้ ๕% ภายใน ๒ ปีข้างหน้า และดำเนินมาตรการเพื่อพัฒนาระบบการศึกษา ตลาดแรงงาน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard & Poor ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีจากระดับคงที่ (Stable) ลงเป็นระดับติดลบ (negative) โดยชี้ว่าอิตาลีมีการเจิญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าและโอกาสของภาระหนี้สินที่จะลดลงเป็นไปได้ยาก
นอกจากนี้ สถาบันมูดีส์ (Moody's) ก็ได้จัดอันดับอิตาลีอยู่ที่ระดับ Aa2 และคาดการณ์ความน่าเชื่อถือของประเทศอิตาลีว่าอยู่ในระดับคงที่
๔. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้จัดทำรายงานด้านเศรษฐกิจและขอให้รัฐบาลอิตาลีดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างอย่างเข้มแข็งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่เฉื่อยช้าให้ผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปให้ได้ โดย IMF เห็นว่าแม้เศรษฐกิจอิตาลีจะมีการฟื้นตัวแล้วก็ตามแต่ก็เป็นการฟื้นตัวอย่างอ่อนแอและเชื่องช้า ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนพื้นฐานจากการส่งออกเท่านั้น รัฐบาลอิตาลีจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างมีหลักเกณฑ์ หากต้องการให้ได้งบประมาณสมดุลย์ตามเป้าหมายในปี ๒๕๕๗
ในภาคการเงินการธนาคาร IMF เห็นว่าอิตาลีสามารถผ่านพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดีเมื่อเทียบกับคู่ค้าประเทศอื่นๆ และเห็นว่าการรวบรวมกำลังด้านงบประมาณและการมีเสถียรภาพทางการเงินจะช่วยทำให้เศรษฐกิจอิตาลีขยายตัวได้ดีและเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ OECD ได้รายงานว่าเศรษฐกิจอิตาลีค่อนข้างเฉื่อยชาและไม่แน่นอนและแนะนำให้รัฐบาลอิตาลีดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างและระบบภาษีให้มากยิ่งขึ้น โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอิตาลีจะไม่สามารถกลับสู่ระดับก่อนหน้าการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างน้อยภายในปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ และได้เน้นย้ำข้อเสนอที่เห็นว่าอิตาลีจำเป็นต้องเร่งเร้าการดำเนินการที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพ ลดจำนวนและต้นทุนหนี้สาธารณะที่มีอยู่จำนวนมาก และกระตุ้นให้เกิดกำลังแรงงานมากขึ้น
นอกจากนี้ โครงการตัดลดการขาดดุลที่รัฐบาลได้ดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการไม่ขึ้นค่าจ้างและการตัดลดเงินทุนให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นยังคงมีความไม่แน่นอน ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องตัดลดการใช้จ่ายลงพร้อมกับการปฏิรูปด้านภาษีต่อไป
๕. องค์กรศาลด้านการตรวจบัญชี (Audit Court) ได้เปิดเผยว่าอิตาลีจะต้องตัดลดหนี้สาธารณะลงให้ได้ปีละ ๓% ของ GDP หรือประมาณ ๔๖ พันล้านยูโร เพื่อให้เป็นไปตามธรรมเนียมของสหภาพยุโรปที่กำหนดขึ้นใหม่ โดยอิตาลีจำเป็นต้องมีวินัยด้านงบประมาณเช่นเดียวกับประเทศสมาชิกอื่นๆ
๖. ผลการสำรวจของสถาบันวิจัย ISPO ปรากฏว่า ประชากรอิตาลี ๙ ใน ๑๐ คน มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ โดย ๙๕% มีความกังวลต่อสถานการณ์การจ้างงานโดยทั่วไป และมากกว่า ๕๒% ที่มองในแง่ร้ายต่อเศรษฐกิจในอนาคต
๗. ผลการพบหารือระหว่าง รมว.กระทรวงการต่างประเทศอิตาลี (นาย Franco Frattini) และ รมว.กระทรวงการต่างประเทศกรีซ (นาย Dimitris Droustas) ที่กรุงโรม เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ปรากฏว่าอิตาลีแสดงความพร้อมที่จะช่วยรัฐบาลกรีซในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของกรีซ ในฐานะเพื่อนบ้านในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วยกัน โดยอิตาลีเชื่อมั่นว่ารัฐบาลกรีซจะสามารถดำเนินมาตราการเข้มงวดทางการเงินและงบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ของประเทศผู้ให้กู้ยืมเงินและตลาดการเงิน ซึ่งในการนี้คาดว่ารัฐบาลกรีซจะให้ความเห็นชอบการออกพระราชบัญญัติแผนปฏิรูปเศรษฐกิจระยะ ๓ ปีได้ในต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔
๘. ผลการวิจัยของสถาบัน CENSIS รายงานว่าอิตาลีมีอัตราเฉลี่ยของประชากรรุ่นหนุ่มสาว (อายุระหว่าง ๑๕-๒๔ ปี) ที่ไม่ได้อยู่ในระหว่างการศึกษา และไม่ได้รับการจ้างงานหรือการฝึกอบรมสูงกว่าสหภาพยุโรปถึง ๓ เท่า คือประมาณ ๑๑.๒% ของจำนวนประชากรในขณะที่อัตราเฉลี่ยในสหภาพยุโรปเท่ากับ ๓.๔% (เยอรมัน ๓.๖%, ฝรั่งเศส ๓.๕%, สหราชอาณาจักร ๑.๗% และ สเปน ๐.๕%)
๙. ISTAT ได้รายงานว่าจำนวนการแต่งงานในอิตาลีในช่วงระหว่างปี ๒๕๕๒-๒๕๕๓ ลดลง ๖% โดยหากแยกตามพื้นที่ปรากฏว่าในแคว้นลาซิโอ ลดลง ๙.๔% แคว้นลอมบาร์ดี ลดลง ๘% แคว้นทัสคานี่ ลดลง ๖.๗% แคว้นเปียมอนเต้และพื้นที่แถบเมืองเนเปิ้ล ลดลง ๖.๔%
ทั้งนี้อิตาลีมีจำนวนประชากรผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่และไม่ได้แต่งงานมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เห็นว่ามีความยากลำบากในการหางานทำและมีบ้านเป็นของตัวเอง
ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ประชากรอิตาลีมีจำนวนรวม ๖๐,๖๒๖,๔๔๒ คน เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๒ จำนวน ๒๘๖,๑๑๔ คน หรือ ๐.๕% ซึ่งเป็นผลจากการเกิดของชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอยู่ในอิตาลี โดยมากกว่า ๑ ใน ๓ ของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ในแถบตอนเหนือของอิตาลี ทั้งนี้อิตาลีมีจำนวนครอบครัวทั้งสิ้นกว่า ๒๕ ล้านครอบครัว โดยมีจำนวนสมาชิกในบ้านเฉลี่ยครอบครัวละ ๒.๔ คน
๑๐. ผลการสำรวจคนอิตาลีรุ่นหนุ่มสาวในด้านการใช้เวปไซด์ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการเช็คอีเมล์และการติดต่อเพื่อเครือข่ายทางสังคมมากกว่าการเป็นผู้เสพย์ติดเวปไซด์ โดย ๔๗% ของผู้ตอบแบบสอบถามแจ้งว่าใช้อินเตอร์เนตนานๆ ครั้ง และ ๖% แจ้งว่าใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษาเป็นประจำ
ทั้งนี้ประชากรหนุ่มสาวทางตอนใต้ของอิตาลีใช้เวปไซด์น้อยกว่าประชากรทางตอนเหนือ
๑๑. ผลการสำรวจของหน่วยงานวิจัย IFC ในด้านการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวในช่วงหยุดพักผ่อนฤดูร้อนปีนี้ของคนอิตาลี ปรากฏว่า ๘๗% ของคนอิตาลีเลือกสถานที่ท่องเที่ยวในอิตาลี โดยเฉพาะการพักผ่อนแบบสีเขียว (Green vacation spot) ในขณะที่ ๑๓% จะไปเที่ยวพักผ่อนในต่างประเทศ
๑๒. ผลการสำรวจเนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลกเมื่อ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ปรากฏว่าในปี ๒๕๕๔ คนอิตาลีสูบบุหรี่มากขึ้นกว่าเดิม โดยมีจำนวนผู้สูบบุหรี่คิดเป็น ๒๒.๗% ของจำนวนประชากรที่มีอายุตั้งแต่ ๑๕ ปีขึ้นไปเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีจำนวนผู้สูบบุหรี่คิดเป็น ๒๑.๗% โดยมีจำนวนผู้ชายอิตาลีที่ติดบุหรี่ประมาณ ๖.๕ ล้านคน ในขณะที่จำนวนผู้หญิงที่ติดบุหรี่มีประมาณ ๕.๓ ล้านคน
๑๓. ผู้ผลิตไวน์อิตาลีค้นพบวิธีการเจาะตลาดตะวันออกกลางซึ่งเป็นตลาดระดับหรูหรา โดยการส่งออกไวน์ทั้งชนิดมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ที่บรรจุในขวดแก้วเป่าด้วยมือและมีส่วนผสมของทองคำซึ่งผลิตโดย Treviso glass maker Cristalli Vavisco ที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ในเวนิซ
ทั้งนี้ บริษัท Iris Vineyards แห่งอิตาลีได้ทำข้อตกลงกับบริษัท M&N จาก Backtas group ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ในตุรกีเพื่อจัดจำหน่ายไวน์ระดับพรีเมียม (ราคาขวดละ ๑๐,๐๐๐ ยูโร) ของบริษัทใน ๒๗ ประเทศ โดยมีประเทศเป้าหมายเช่น ตุรกี เลบานอน จอร์แดน ซีเรีย อียิปต์ และอิหร่าน รวมทั้งประเทศแถบอาเซียน เช่น มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย โดยไวน์ที่เรียกว่า prosecco จำนวนกว่า ๑,๐๐๐ ขวดได้ถูกจัดเตรียมและพร้อมที่จะขนส่งลงเรือ โดยบรรจุในกล่องที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์แบรนด์ฝรั่งเศสคือแอร์เมส (Hermes)
จากการเปิดเผยของ นาย Franco Manzato ที่ปรึกษาฝ่ายเกษตรแห่งแคว้นเวเนโต้กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายอดจำหน่ายของไวน์ prosecco ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดโดยมียอดจำหน่ายปีละมากกว่า ๑๕๐ ล้านขวด ซึ่ง ๖๐% เป็นไวน์จากแคว้น Conegliano และ Valdobbiadene ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองเวนิซ
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงโรม
ที่มา: http://www.depthai.go.th