รายงานภาวะตลาดสินค้าไม้หอมกฤษณา (Agarwood) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 6, 2011 13:06 —กรมส่งเสริมการส่งออก

สินค้า: ไม้กฤษณาเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้อย่างจริงจังให้กับเกษตรกร จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกรไทย ปัจจุบันมีการปลูกเป็นสวนป่า มีกรรมวิธีใช้สารบังคับทำให้เกิดน้ำมัน หรือสารกฤษณานำไปกลั่นเป็นน้ำหอม มีการจัดตั้งโรงกลั่นไม้กฤษณาในจังหวัดตราด และจันทบุรี เพื่อส่งออกไปทั่วโลกแต่ตลาดหลักเป็นประเทศอาหรับภูมิภาคตะวันออกกลาง หรือกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก ซึ่งมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากไม้หอมกฤษณาสูงมาก เช่น ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอล ลิเบีย ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีการใช้น้ำมันกฤษณา ผงไม้ ผลิตผงธูป และไม้แก่น ในการทำยาสมุนไพร และทำกำยาน ประเทศยุโรปใช้น้ำมันกฤษณาเป็นหัวเชื้อน้ำหอม และที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการใช้น้ำมันกฤษณาเป็นตัวยารักษามะเร็งในลำไส้ กระเพาะอาหาร และมะเร็งในตับ

ในรายงานฉบับนี้จะกล่าวครอบคลุมเฉพาะไม้หอมกฤษณา (Agarwood) เป็นเศษ /ชิ้น (HS. : 1211) ต้น/ส่วนของต้นไม้สำหรับใช้ทำน้ำหอม ยา และอื่นๆจากกลุ่มข้างต้น ประเทศแถบอ่าวอาระเบียนเรียก Oudh และเป็นตลาดใหญ่ทั้งเพื่อนำเข้าและส่งออกต่อ (Re-export)

1. ภาวะตลาด :

2.1 การนำเข้าของยูเออี: จากสถิติการนำเข้าของล่าสุดที่แสดงมูลค่าการนำเข้าของกลุ่มสินค้าข้างต้นดังนี้

ปี 2551 มูลค่า 18.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณ 4,982 ตัน

ปี 2552 มูลค่า 20.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณ 4,731 ตัน ขยายตัวในเชิงมูลค่า 9.0%

ปี 2553 มูลค่า 21.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณ 5,296 ตันขยายตัวในเชิงมูลค่า 6.8%

มูลค่านำเข้ามากน้อยจากประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ออสเตรเลีย โอมาน อียิปต์ สหรัฐฯ ซีเรีย และจีน ตามลำดับ (รายละเอียดปรากฏตามสถิติแนบ)

2.2. การนำเข้าจากไทย:

ปี 2551 มูลค่า 299,754 เหรียญสหรัฐ สัดส่วนตลาด 1.6%

ปี 2552 มูลค่า 354,384 เหรียญสหรัฐ สัดส่วนตลาด 1.7% ขยายตัวในเชิงมูลค่า 18.2%

ปี 2553 มูลค่า 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนตลาด 5.6% ขยายตัวในเชิงมูลค่า 244.0%

3.การผลิตในประเทศ :

ไม่มีการผลิตในประเทศ แต่มีโรงงานผลิตน้ำหอม เครื่องสำอาง สเปรย์ดับกลิ่น และกระดาษทิชชู

นำเข้าชิ้นไม้หอม /เศษไม้หอมเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้า เศษไม้อัดแท่งเป็นกำยาน

4. การส่งออกต่อ (Re-export) :

ยูเออีมีรัฐดูไบเป็นศูนย์กลางการส่งออกต่อไม้/ส่วนของต้นไม้สำหรับใช้ทำน้ำหอม ยา และอื่นๆ ตลอดปีมีพ่อค้าจากประเทศอาหรับอิ่นๆและจากกลุ่มประเทศอัฟริกาเข้าไปเลือกซื้อสินค้า ยูเออีส่งออกต่อสินค้ากลุ่มนี้ทั้งสิ้นเมื่อปี 2553 ปริมาณ 1,579 ตัน มูลค่า 5.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่งออกไปประเทศอิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย คูเวต ฮ่องกง อัลจีเรีย บาห์เรน ซูดาน และกาตาร์

5. ช่องทางการนำเข้าสู่ตลาด :

มีบริษัทขนาดใหญ่นำเข้าไม้หอม น้ำมันและผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายผ่านOutlet ที่ตั้งอยู่ห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ นอกจากนั้นมีจำหน่ายในร้านค้าปลีกและ Kiosk อยู่ในแหล่งชุมชนทั่วไป การนำเข้าพอสรุปได้ดังนี้

          - ผู้นำเข้า             ร้อยละ  :            60
          - ผู้ค้าปลีก             ร้อยละ  :            40

6.  ฤดูกาลสั่งซื้อ ฤดูกาลจำหน่าย   :

ตลอดปี

7. การแข่งขัน :

ไม้หอมจากรัฐอัสสัมอินเดียจัดว่าเป็นไม้หอมที่ดีกลิ่นนุ่มนวลที่สุด แต่ปัจจุบันไม่พบไม้หอมจากอินเดียนัก ส่วนใหญ่มักจะเป็นไม้หอมจากพม่าขนส่งผ่านรัฐอัสสัมของอินเดียเพื่อส่งออก นอกจากนั้นเป็นไม้หอมจากกัมพูชาที่ได้รับการยอมรับในยูเออีมาก ส่วนไม้หอมจากเกาะบอร์เนียวของอินโดนีเซียส่วนใหญ่ส่งออกผ่านสิงคโปร์ (ขณะนี้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางส่งออกต่อไม้หอมที่มีปริมาณและมูลค่าอันดับต้น) มาเลเซีย แต่กลิ่นไม้หอมจากอินโดนีเซียจะไม่นุ่มนวลเทียบกับของอินเดีย นอกจากนั้นเป็นไม้หอมจากจีน และปาปัวนิวกีนี

เนื่องจากไม้หอมกฤษณาเป็นสินค้าควบคุมการส่งออก สินค้านี้บางส่วนส่งออกจากไทย

ไปดูไบ เป็นลักษณะ Cash & Carry โดยพ่อค้าจากดูไบมาเลือกซื้อสินค้าและขนกลับไปเอง หรือจัดส่งทางพัสดุไปรษณีย์ที่มีบริษัทรับจ้างขนส่งพิเศษ บางครั้งมีพ่อค้าไทยลักลอบนำไม้หอมจากไทยไปจำหน่ายที่ดูไบ แต่หลายครั้งจึงถูกพ่อค้าดูไบกดราคา

ปัจจุบันรัฐบาลยูเออีออกกฎหมายควบคุมการนำเข้าไม้กฤษณา ภายใต้บทบัญญัติ หรือ UAE’s Federal Law No.11. โดยผู้นำเข้าจะต้องมีหนังสือรับรอง CITES ระบุสายพันธุ์ไม้หอม และยูเออีให้ความคุ้มครองไม้กฤษณาสายพันธุ์ Aquilaria (ยกเว้นสายพันธุ์ Aquilaria malaccensis) และสายพันธุ์ Gyrinops แสดงต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรและเจ้าหน้าที่กักกันพืชสัตว์

8. สินค้าและราคา :

ไม้หอมมีหลายคุณภาพและราคา ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันในเนื้อไม้สีและขนาดของไม้ ราคาไม้กฤษณากิโลกรัมละ 7,000-200,000 บาท น้ำมันกฤษณามีราคา 5,000-10,000 บาทต่อโตล่า (Toula หน่วยวัดปริมาตร เท่ากับ 11.62 กรัมหรือ 12 ลูกบาศก์เซนติเมตร) หากชิ้นใหญ่เป็นรูปต่างๆ เช่น รูปเขากวางอาจมีราคากิโลละหลายหมื่นเหรียญสหรัฐฯ แต่ปัจจุบันพบหายากมาก สินค้าที่จำหน่ายในตลาดขณะนี้เป็นไม้ Aquilaria, Gyrinops chips และเศษ/ผงไม้อัดก้อน (Bakhoor)

ในตลาดยังมีไม้ปลอมหลอกขายผู้ซื้อ วิธีทำจะใช้ไม้กฤษณาคุณภาพต่ำเคลือบด้วยผงไม้ผสมกับแว๊กซ์หรือวัสดุเกาะแน่นเคลือบชั้นนอกแล้วผ่านกระบวนความร้อนให้เนื้อเสมอกัน อีกชนิดเป็นไม้ปลอมที่รู้จักในตลาดว่า “BMW”(black magic wood) วิธีทำจะใช้ไม้กฤษณาคุณภาพต่ำหรือไม้ชนิดอื่นชุบด้วยน้ำมันกฤษณาผสมกับแอลกอฮอล์ สำหรับใช้ซื้อขายในตลาดล่างมีราคาถูก สินค้าถูกซื้อไปใช้ในครัวเรือน อาทิ ใช้ควันเพื่อแต่งกลิ่นอาหาร เป็นต้น

9. ภาษีนำเข้าจากราคา CIF :

ร้อยละ 5 จากราคาซีไอเอฟ

10. สิทธิพิเศษทางศุลกากร :

ไม่มี

11. เอกสารประกอบการนำเข้า :

Invoice, Certificate of Origin ประทับตรารับรองจากหอการค้าไทย และ Legalize จากสถานทูตประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในประเทศไทย Bill of Lading และ Packing List

12. กฏระเบียบอื่น ๆ :

ไม้หอมถูกจัดอยู่ในกลุ่มไม้อนุรักษ์หายาก ภายใต้อนุสัญญา Convention on Trade in Endangered Species ของ Wild Fauna and Flora (CITES) และประเทศยูเออีก็เป็นสมาชิก อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ the Federal Environment Agency, Ministry of Environment and Water ดังนั้นการส่งออกและนำเข้าไม้หอมนี้จะต้องมีใบรับรอง CITES แสดง จากประเทศไทยที่จะต้องได้รับอนุญาตจากกรมอุทธยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช ที่ยูเออีจะต้องได้รับอนุญาตจาก Ministry of Environment and Water และโดยมีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานศุลกากรและหน่วยงานกักกันพืชสัตวเป็นผู้ปฎิบัติใช้ตรวจสอบการนำเข้าส่งออก

13. สรุป :

1. ไม้กฤษณาจากธรรมชาติมีราคาสูงขึ้นเพราะมีจำนวนลดเหลือน้อยมาก ทำให้ผู้ซื้อหันมาซื้อไม้กฤษณาจากสวนป่าซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวมาผลิตเป็นน้ำมันกฤษณาได้มากขึ้น จนทำให้ปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดมีราคาถูกลง

2. บริษัทจำหน่ายไม้กฤษณาและผู้ผลิตสินค้าจากไม้กฤษณารายสำคัญของยูเออี มีสวนป่าปลูกไม้กฤษณาประมาณ 3 ล้านต้น รวมทั้งสวนป่าในประเทศไทยเพื่อผลิตสินค้าสำหรับส่งออกไปตะวันออกกลาง โดยเฉพาะตลาดซาอุดิอาระเบียเป็นตลาดใหญ่รองรับสินค้านี้

3. เพื่อสร้างความมั่นใจสินค้า ผู้นำเข้ารายใหญ่หรือโรงงานที่ผลิตสินค้าทำจากไม้หอม มักจะมีตัวแทนของบริษัทอยู่ในประเทศแหล่งนำเข้าไม้หอม เพื่อเลือกซื้อสินค้าและส่งให้บริษัทที่ดูไบ โดยเฉพาะในประเทศที่มีไม้กฤษณาธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่มาก เช่น ในประเทศอินโดนีเซีย กัมพูชา เป็นต้น

4. นอกจากชิ้นไม้กฤษณาสำหรับใช้จุด ผงไม้อัดก้อน เศษ/ผงไม้ถูกนำเข้ามาขึ้นเพื่อสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบผลิตน้ำหอม เครื่องสำอาง สบู่ ครีมทาผิวและอื่นๆ

5. ปัจจุบันชาวอาหรับนิยมใช้น้ำมันกฤษณาปรุงแต่งร่างกายแทนน้ำหอมทั่วไปเนื่องจากมีกลิ่นติดทนนานอีกทั้งมีความสะดวก ส่วนชิ้นไม้หอมสำหรับใช้กลิ่นควันก็ยังใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น จุดให้เกิดกลิ่นหอมภายในบ้าน เพื่อใช้ในพิธีกรรม ไล่สิ่งชั่วร้าย ใช้ในงานเลี้ยงรับรองแขกสำคัญ

6. ด้วยลู่ทางการตลาดที่มีทิศทางสดใสดังกล่าว ประกอบกับไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพเพราะมีการปลูกสวนป่าไม้กฤษณาจำนวนมาก โดยเฉพาะสวนป่าบริเวณเขาใหญ่ กลิ่นไม้เป็นที่ยอมรับในตลาด หากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง คาดว่าไทยจะสามารถพัฒนาให้ไม้กฤษณาเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศ

7. รายชื่อผู้ค้าไม้หอมในรัฐดูไบตามเอกสารแนบ

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ