ข้อมูลทั่วไป :เมืองหลวง : Beijingพื้นที่ : 9,561,000 ตารางกิโลเมตรภาษาราชการ : Mainly Putonghua or Standard Chineseประชากร : 1.3 พันล้านคน (end-2005)อัตราแลกเปลี่ยน : 1 เรนมินบิ = 4.86 บาท (29/07/51)(1) เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจ ปี 2007 ปี 2008 Real GDP growth (%) 11.40 10.10Consumer price inflation (%; av) 4.80 3.80Budget balance (% of GDP) 0.20 0.10Current-account balance (% of GDP) 11.30 11.00Commercial bank prime rate (%; year-end) 7.60 8.10Exchange rate Rmb:US$ (av) 7.61 7.08โครงสร้างสินค้าออกของไทยกับจีน มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 8,359.90 100.00 27.44 สินค้าเกษตรกรรม 1,326.66 15.87 21.25 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 119.23 1.43 -8.73 สินค้าอุตสาหกรรม 5,771.89 69.04 23.45 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 1,142.11 13.66 77.29 สินค้าอื่นๆ 0.01 0.0 -99.97 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับจีน มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้าทั้งสิ้น 9,977.88 100.00 30.77 สินค้าเชื้อเพลิง 125.19 1.25 111.05 สินค้าทุน 3,884.74 38.93 28.65 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 3,923.66 39.32 25.37 สินค้าบริโภค 1,897.67 19.02 44.04 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 145.58 1.46 52.47 สินค้าอื่นๆ 1.04 0.01 -87.43 1. มูลค่าการค้ามูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - จีน 2550 2551 D/% (ม.ค.-มิย.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าการค้ารวม 14,489.71 18,337.78 29.23การส่งออก 6,559.87 8,359.90 27.44การนำเข้า 7,629.84 9,977.88 30.77ดุลการค้า -1,069.97 -1,617.98 51.222. การนำเข้า ประเทศไทยนำเข้าจากตลาดจีน เป็นอันดับที่ 2 มูลค่า 9,977.88 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.77 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าการนำเข้ารวม 9,977.88 100.00 30.771. เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ 1,385.52 13.89 22.692. เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 1,174.80 11.77 18.123. เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 953.54 9.56 52.934. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 770.82 7.73 38.075. เคมีภัณฑ์ 709.18 7.11 49.26 อื่น ๆ 4,984.02 49.95 29.49 3. การส่งออก ประเทศไทยส่งออกไปตลาดจีน เป็นอันดับที่ 3 มูลค่า 8,359.90 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.44 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลด ล้านเหรียญสหรัฐฯ มูลค่าการนำเข้ารวม 8,359.90 100.00 27.441. เครื่องคอมพิวเตอร์ฯ 2,413.97 28.88 56.632. ยางพารา 914.63 10.94 51.023. เม็ดพลาสติก 614.08 7.35 37.154. น้ำมันสำเร็จรูป 602.08 7.20 77.625. น้ำมันดิบ 477.04 5.71 117.10 อื่น ๆ 3,338.11 39.93 -2.014. ข้อสังเกต4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปจีน ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 2,413.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.63 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในรอบปีที่ผ่านมาการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันไทยได้กลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก จากการเข้ามาของนักลงทุนรายใหญ่ทั้ง สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนประกอบประเภทฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีบทบาททั้งทางด้านการผลิตและการส่งออกมากที่สุดในอุตสาหกรรมกลุ่มนี้ ยางพารา : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 914.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 51.02 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันไทยยังคงมีปริมาณการผลิตยางเป็นอันดับหนึ่งของโลก และประเทศที่มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นประเทศผู้ใช้ยาง คือจีนและอินเดีย เนื่องจากการเติบโตของุตสาหกรรมรถยนต์ในทั้งสองประเทศมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจีนจะเป็นประเทศผู้ใช้ยางที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในช่วงระยะ 15 ปีต่อจากนี้ เม็ดพลาสติก : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 614.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.15 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน น้ำมันสำเร็จรูป : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 2 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 602.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 77.62 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน น้ำมันดิบ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทยโดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 477.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 117.10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี4.5 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดจีน 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราเพิ่มสูงโดยสูงกว่าร้อยละ 40 มีรวม 14 รายการ เช่น 1.) เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 5 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 129.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.57 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.) เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 10 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 86.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.81 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 3.) กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 70.20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.04 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 4.) ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 68.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.21 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตผลไม้เมืองร้อนที่สำคัญของโลก เช่น ทุเรียน ลำไย ลองกอง มะม่วง มังคุด และกล้วยหอม ได้รับการยอมรับว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี ได้ปรับกระบวนการผลิตที่ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของอาหารตามมาตรฐานโลก และตระหนักถึงพฤติกรรมการบริโภคของตลาดโลก ทำให้สามารถส่งออกได้ทั้งผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป คาดว่าปีนี้ไทยจะสามารถส่งออกผลไม้ได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ขณะเดียวกันได้เตรียมขยายตลาดหลักในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง4.6 ในบรรดาสินค้าส่งออกจากไทยไปตลาดจีน 25 รายการแรก สินค้าที่มีอัตราลดลง มี 5 รายการ เช่น 1.) เคมีภัณฑ์ : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 413.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 35.36 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.) แผงวงจรไฟฟ้า : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 384.46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 2.82 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 3.) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง : จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย โดยในปี 2551 (มค.-มิย.) มีมูลค่า 175.68 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ 41.42 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 4.7 ข้อมูลเพิ่มเติม 1.) การปรับนโยบายการค้าและมาตรการต่างๆ ของจีน แม้จีนจะมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่ความร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนได้สร้างความกังวลให้กับรัฐบาลจีน ดังนั้นรัฐบาลจีนจึงพยายามที่จะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและมาตรการในสาขาต่างๆ ของจีน รัฐบาลจีนได้ตัดสินใจเลือกใช้นโยบายทางการเงินเพื่อชะลอสถานการณ์ดังกล่าว เช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย การตั้งเงินสำรองของธนาคารสูงขึ้น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (เพิ่มถึง 7 ครั้งในช่วง 2 ปี) อย่างไรก็ดี การเจริญเติบโตของจีนเป็นผลมาจากการขยายตัวด้านการส่งออกและการลงทุนมากกว่าการบริโภคในประเทศ โดยการขยายตัวด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาช่องว่างระหว่างประชาชนเมืองกับชนบท ซึ่งรัฐบาลได้พยายามใช้นโยบายต่างๆ เพื่อการชะลอการส่งออกและส่งเสริมการบริโภคภายในให้มากขึ้นเพื่อบรรเทาปัญหาความไม่สมดุลต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การเพิ่มจำนวนสินค้าที่มีภาษีส่งออก การยกเลิกการคืนภาษี VAT ในสินค้าประมาณ 2,800 รายการ ให้กับผู้ส่งออก การห้ามการส่งออกและลดการส่งออกสินค้าที่ใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติสูง เป็นต้น ในรายงานการทบทวนนโยบายการค้าของจีนยังได้กล่าวถึงมาตรการด้านภาษีและมิใช่ภาษีของจีน กล่าวคือในปี 2550 อัตราภาษีที่จีนเก็บจากสมาชิก WTO (MFN) เฉลี่ยของจีนอยู่ที่ร้อยละ 9.7 โดยอัตราภาษีที่เรียกเก็บจริง (applied MFN tariff) สำหรับสินค้าเกษตรอยู่ที่ร้อยละ 15.3 สินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 8.8 และอัตราภาษีเฉลี่ยภายใต้ความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ อยู่ในช่วงร้อยละ 3.5-9 ทั้งนี้ จีนได้ยกเลิกมาตรการโควตาภาษี (TRQ) สำหรับสินค้าน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม และน้ำมันเรฟซีส ตั้งแต่ปี 2549 คงเหลือสินค้าที่มี TRQ เพียง 8 รายการเท่านั้น สำหรับมาตรการที่มิใช่ภาษี จีนได้ลดจำนวนรายการสินค้าที่ต้องมีการขอใบอนุญาตแบบอัตโนมัติ (automatic import licensing) ให้น้อยลง แต่นโยบายในเรื่อง SPS ยังมีความซับซ้อนและมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ ส่วนในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ กฎหมายอนุญาตให้รัฐสามารถซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศได้ในบางกรณีแต่ในทางปฏิบัติแล้วรัฐซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในต่างประเทศอยู่เสมอ หลังจากที่จีนให้ความสำคัญกับภาคการผลิตซึ่งเน้นการใช้เครื่องจักรมาโดยตลอด รัฐบาลจีนได้เริ่มให้ความสนใจกับภาคบริการที่ใช้ปัจจัยแรงงานมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างงานให้กับประชาชนในชนบทเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมาภาคการเงินนับเป็นสาขาที่มีความก้าวหน้ามากกว่าภาคอื่นๆ แต่ระบบธนาคารยังมีการพัฒนาน้อยและไม่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลอนุญาตให้ธนาคารต่างชาติสามารถทำธุรกรรมที่เป็นสกุลเงินหยวนกับคนจีนได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ แต่ข้อกำหนดต่างๆ ที่ใช้กับธนาคารต่างชาติยังเป็นไปอย่างเข้มงวดสำหรับการเปิดเสรีภาคบริการยังเป็นไปอย่างเชื่องช้าส่งผลให้ภาคบริการส่วนใหญ่ยังอยู่ในการควบคุมของรัฐ ภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีรายได้คิดเป็นร้อยละ 13.4 ของ GDP และจ้างงานสูงถึงร้อยละ 40 ของแรงงานจีนทั้งหมด ได้มีการเปลี่ยนนโยบายเป็นการให้การสนับสนุนมากขึ้น โดยในปี 2549 จีนได้ยกเลิกภาษีเกษตรกรรม (ภาษีที่เก็บจากรายได้ของเกษตรกร) และจัดให้มีการสนับสนุนทางการเงินมากขึ้น และเนื่องจากแรงงานในภาคเกษตรของจีนสร้างผลผลิตได้เพียง 1 ใน 5 ของผลผลิตทั้งประเทศแต่มีแรงงานอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้รายได้ของประชากรในชนบทแตกต่างจากประชาชนเมืองเป็นอย่างมากดังนั้นแผนพัฒนาระยะ 5 ปี ฉบับที่ 11 ของจีน (ปี 2549-2553) จึงให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิต การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานการสร้างเทคโนโลยี และการให้ความรู้แก่เกษตรกรอย่างจริงจังมากขึ้น จะเห็นว่าการออกนโยบายต่างๆ เพื่อชะลอการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนดังกล่าว เป็นไปเพื่อการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเป็นการลดแรงต้านจากการที่สินค้าจีนได้บุกตลาดไปทั่วโลกด้วยราคาที่ถูกกล่าว โดยหันมาเน้นตลาดบริโภคภายในประเทศ ลดการส่งออก และเพิ่มการนำเข้า เนื่องจากค่าเงินหยวนได้เริ่มแข็งค่าขึ้นทำให้ราคาสินค้าจีนเริ่มแพงขึ้น ภาวะการณ์เช่นนี้น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะได้ส่งออกสินค้าไปตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ใช้สิทธิภายใต้ FTA อาเซียน - จีน ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าจีนที่เริ่มสูงขึ้นจะทำให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดประเทศที่สาม 2.) ชี้ช่องทุนไทยลุยตลาดจีนใต้ ความเป็นไปที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (ไทย พม่า ลาว จีนตอนใต้) ที่เริ่มกลายเป็นพื้นที่การค้า-การลงทุนใหม่ ที่เปิดขึ้นหลังการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่เดินหน้าผลักดันเต็มที่ภายใต้นโยบาย “ตงหมง” เปิดเส้นทางออกสู่ทะเลให้แก่ 5 มณฑลทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน หรือที่เรียกว่า “ซีหนาน” มีมณฑลหยุนหนัน(ยูนนาน) เป็นศูนย์กลางหลัก เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนแถบนี้ให้เทียบเท่ากับชายฝั่งทะเลตะวันออก นอกจากจะทุ่มงบประมาณพัฒนาเส้นทางคมนาคมทุกช่องทางจนเกือบเสร็จสมบูรณ์ 100%แล้วล่าสุด จีน ได้ร่วมลงนามกับมาเลเซีย เพื่อใช้มาเลเซียเป็นศูนย์กลาง(HUB )สำหรับขนส่งสินค้าเข้า-ออก ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้ไทย กลายเป็นทางผ่านสินค้าเท่านั้น ภายใต้นโยบายตงหมงของ จีน มีการผ่อนปรนเงื่อนไขค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับช่องทางการค้า อื่น ๆ ของจีน แต่ตลอดระยะที่ผ่านมาการผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้ายึดกุมตลาดในย่านนี้ โดยเฉพาะตลาดจีนตอนใต้ ซึ่งในเขต 5 มณฑลที่เรียกว่าซีหนานนั้น เป็นตลาดที่มีผู้บริโภคมากกว่า 300 ล้านคน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย พยายามที่จะให้เอกชนไทยใช้หลักกวนซี่ หรืออาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเข้าทำตลาดในจีน ปล่อยให้สินค้าออกทางชายแดนภาคเหนือ เข้าไปสวมสิทธิ์เป็นสินค้าพม่า — ลาว ที่ได้สิทธิ์สินค้าชายแดนเข้าไปขายในจีน โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า หรือทำให้เป็นสินค้าลอดรัฐ เพื่อหนีนโยบายเข้มงวดการค้า การลงทุนจากต่างชาติของ จีน ขณะที่ FTA ไทย-จีน มีผลบังคับใช้ พืช ผัก ผลไม้ จีนนำเข้าไทยภายใต้ภาษี 0% แต่สินค้าเกษตรไทย แม้นำเข้าจีนเสียภาษี 0% แต่ต้องเจอ VAT แต่ละมณฑลอยู่ รวมถึง Non Tariff Barrier อีกหลากหลายกรณี เช่น นโยบาย One License For One Product ที่ต้องมีใบอนุญาตนำเข้า ใบอนุญาตค้าส่ง ใบอนุญาตค้าปลีก / กฎระเบียบการนำเข้า ทั้งการตรวจโรคพืช — มาตรฐานความปลอดภัยสินค้า ใบแสดงถิ่นกำเนิด / มาตรฐานสินค้าที่แตกต่างกัน (องค์การอาหารและยา หรือ อย. ,เครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ มอก.) เป็นต้น ที่มา: http://www.depthai.go.th