ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี 2551 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับอินโดนีเซียคิดเป็นอันดับที่ 3 รองลงมาจากมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยมีมูลค่าการค้ารวม 11,719 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 33 จาก 8,804 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับปี 2550 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลักคือภาวะเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่ยังคงขยายตัวในอัตราที่สูงคือ โดยเฉลี่ยในปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 6.1 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ทำให้ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศในตลาดอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความต้องการสินค้าจากไทย ในขณะเดียวกันอินโดนีเซียสามารถส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศเป็นมูลค่าที่สูงขึ้น เนื่องจากสินค้าส่งออกหลักของอินโดนีเซียซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติ มีราคาสูงขึ้นในปี 2551
อย่างไรก็ดี การค้าระหว่างไทยกับอินโดนีเซียในช่วงปลายปี 2551 โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคม ชะลอตัวลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วง 3 ไตรมาสแรก (ซึ่งมูลค่าการค้า ม.ค. — ต.ค. 51 เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยเป็นผลมาจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งอินโดนีเซียได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าว ทำให้ความต้องการสินค้าจากต่างประเทศรวมทั้งสินค้าไทยในตลาดอินโดนีเซียสำหรับการบริโภคและการลงทุนลดต่ำลง รวมทั้งการที่รัฐบาลอินโดนีเซียมีการออกกฎระเบียบควบคุมการนำเข้าและจำหน่ายสินค้าในตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งมีลักษณะเป็นการปกป้องตลาดภายในประเทศจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ด้านการส่งออก อินโดนีเซียเป็นคู่ค้าที่สำคัญลำดับที่ 8 ของไทยในปี 2551 โดยการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังอินโดนีเซีย มีมูลค่าสูงถึง 6,325 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.28 จาก 4,818 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2550 โดยนับว่ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังอินโดนีเซียยังคงขยายตัวในอัตราที่สูง ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่ยังคงขยายตัวในอัตราที่สูง (ประมาณ 6.1%) ขณะที่สินค้าจากไทยหลายประเภทยังสามารถแข่งขันได้ในตลาดอินโดนีเซีย และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียซึ่งมีความรู้สึกที่ดีต่อสินค้าไทยโดยเฉพาะในเรื่องคุณภาพสินค้า แม้ว่าจะมีการแข่งในสูงขึ้นในตลาดอินโดนีเซียโดยเฉพาะกับสินค้าราคาถูกจากจีน อินเดีย และเวียดนาม เป็นต้น
สำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปยังตลาดอินโดนีเซีย 10 อันดับแรกในปี 2551 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นทุกรายการ โดยสินค้าสำคัญดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 66 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดจากไทยไปยังตลาดอินโดนีเซีย
1) รถยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์: มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49 เป็นมูลค่า 1,531 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 24 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยทั้งหมด ดังนั้นสินค้าประเภทรถยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์จึงเป็นสินค้าส่งออกของไทยที่สำคัญอย่างยิ่งในตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งในปี 2551 ความต้องการสินค้าดังกล่าวในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัว โดยความต้องการในตลาดเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 40 — 50 ก่อนที่จะมีแนวโน้มลดลงในช่วงปลายปี 2551 จากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจ
2) น้ำตาล: เป็นสินค้าที่ยังมีความต้องการในการนำเข้า เนื่องจากผลผลิตในประเทศของอินโดนีเซียไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด และคุณภาพของน้ำตาลทรายขาวที่ผลิตได้ในประเทศมีคุณภาพต่ำกว่าน้ำตาลที่นำเข้าจากต่างประเทศและยังไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับอุตสาหกรรมบางประเภทที่ใช้น้ำตาลทรายขาวเป็นวัตถุดิบ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งอินโดนีเซียนำเข้าน้ำตาลจากไทยในปี 2551 เป็นมูลค่า 449 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 อย่างไรก็ดี ในช่วงกลางปี 2551 เป็นต้นมา มีการร้องเรียนจากอุตสาหกรรมผู้ใช้น้ำตาลว่า ในทางปฏิบัติรัฐบาลอินโดนีเซียไม่อนุญาตให้นำเข้าน้ำตาลทรายขาวจากต่างประเทศรวมทั้งจากไทยด้วย เนื่องจากนโยบายการสนับสนุนการผลิตและการใช้น้ำตาลในประเทศให้เพียงพอต่อความต้องการ (self sufficient) ซึ่งในเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์พยายามที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการยกประเด็นขึ้นหารือกับอินโดนีเซียในการเจรจาการค้าในเวทีต่าง ๆ รวมทั้งการเร่งเจรจาและลงนามในความตกลงกับอินโดนีเซียสำหรับการค้าสินค้าน้ำตาล
3) เครื่องจักรและชิ้นส่วน: จากภาวะเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่ยังคงขยายตัวในอัตราที่สูง รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุนโดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทำให้ความต้องการสินค้าประเภททุนเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจักรและชิ้นส่วนจากประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 43 เป็นมูลค่า 417 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสินค้าจากไทยเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและยังคงแข่งขันได้ในตลาดนี้ เนื่องจากคุณภาพเป็นที่ยอมรับและราคาเหมาะสม โดยข้อมูลจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในอินโดนีเซียงาน Manufacturing Indonesia ที่กรมส่งเสริมการส่งออกให้การสนับสนุนในการเข้าร่วมงานนี้เป็นปีที่ 3 แล้วในปี 2551 นับว่าประสบความสำเร็จ โดยผู้เข้าชมงานยอมรับว่าสินค้าประเภทเครื่องจักรและชิ้นส่วนของไทยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ สามารถแข่งขันได้กับสินค้าจากประเทศอื่น เช่น จากเกาหลีและไต้หวัน ราคายังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แต่มีแนวโน้มสูงขึ้นซึ่งจะเริ่มแข่งขันได้ยากขึ้นกับสินค้าจากบางประเทศ
4) เครื่องยนต์สันดาปภายในและชิ้นส่วน: การนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องยนต์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปในทางเดียวกับการขยายตัวของตลาดรถยนต์ภายในประเทศ โดยมูลค่าการนำเข้ารวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 83 คิดเป็นมูลค่า 344 ล้านเหรียญสหรัฐ
5) เคมีภัณฑ์: มูลค่าการส่งออกสินค้าเคมีภัณฑ์จากไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือร้อยละ 17 เป็นมูลค่า 339 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอินโดนีเซียมีความต้องการสินค้าดังกล่าวเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ ทั้งนี้เป็นที่สังเกตว่าไทยมีการนำเข้าสินค้าเคมีภัณฑ์บางประเภทจากอินโดนีเซียเช่นเดียวกัน โดยเป็นสินค้านำเข้าสำคัญอันดับที่ 4 ของไทยจากอินโดนีเซีย
6) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์: ความต้องการสินค้าดังกล่าวของอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศที่ขยายตัว รวมทั้งมีการขยายตัวของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ทำให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยเพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นมูลค่า 335 ล้านเหรียญสหรัฐ
7) โพลิเมอร์ของเอธิลีนและโพรพีลีน: อินโดนีเซียมีความต้องการนำเข้า เนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ โดยมูลค่าการนำเข้าจากไทยที่เพิ่มขึ้นเป็น 268 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาของสินค้าดังกล่าวในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งความต้องการใช้สินค้าดังกล่าวในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตถุงพลาสติก อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าดังกล่าวเริ่มอ่อนตัวลงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 จากภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดต่ำลง
8) รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์: ความต้องการสินค้าประเภทรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนในตลาดอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้นในปี 2551 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัว และเป็นสินค้าที่จำเป็นโดยเฉพาะสำหรับชนชั้นกลางเนื่องจากบริการด้านการขนส่งภายในประเทศไม่เพียงพอ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าดังกล่าวจากไทยเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 56 คิดเป็นมูลค่า 209 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ข้อมูลของ Indonesian Motorcycle Industry Association (AISI) คาดว่ายอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในอินโดนีเซียอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านคันต่อปี ซึ่งอินโดนีเซียเป็นตลาดรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 รองจากจีนและอินเดีย
9) ผลิตภัณฑ์พลาสติก: มูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังตลาดอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งจากราคาสินค้าดังกล่าวที่เพิ่มสูงขื้นเนื่องจากราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ซึ่งสินค้าไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ในตลาดนี้เนื่องจากส่วนใหญ่คุณภาพดีกว่าสินค้าที่อินโดนีเซียผลิตได้ในประเทศ และราคาที่สามารถแข่งขันได้
10) เครื่องปรับอากาศ และชิ้นส่วน: มูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่จำเป็นกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นของอินโดนีเซีย ขณะที่สินค้าดังกล่าวจากไทยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดอินโดนีเซีย แต่เริ่มมีการแข่งขันสูงขึ้นในตลาดกับสินค้าราคาถูกจากประเทศอื่น มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยจากอินโดนีเซียในปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 5,394 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 3,985 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2550 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 เนื่องจากราคาสินค้าประเภทวัตถุดิบ/ ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากอินโดนีเซีย เพิ่มสูงขึ้นมากโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 อันได้แก่ ถ่านหิน แร่โลหะ และน้ำมันดิบ นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากมูลค่าการนำเข้าเรือและโครงสร้างลอยน้ำที่เพิ่มขึ้นมากในปี 2551 จากเดิมที่นำเข้าเพียงเล็กน้อย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมิใช่การนำเข้าจริงจากอินโดนีเซีย แต่เกิดจากเหตุผลทางทะเบียนจากกฎระเบียบใหม่การทำประมง ทำให้เรือประมงไทยจะต้องเดินทางกลับไทย ซึ่งปรากฎเป็นตัวเลขมูลค่าการนำเข้าจากอินโดนีเซีย
สำหรับสินค้านำเข้าที่สำคัญของไทยจากอินโดนีเซีย 10 อันดับแรก คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 76 ของมูลค่าการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของไทยจากอินโดนีเซีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ/ทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่ ถ่านหิน แร่โลหะ น้ำมันดิบ และสินค้าประมง (สัตว์น้ำมีชีวิต แช่เย็น/ แช่แข็ง) เป็นต้น
1) ถ่านหิน: มูลค่าการนำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้นเป็น 850 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากไทยมีความต้องการถ่านหินเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานเพิ่มสูงขึ้น กอปรกับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551 ราคาถ่านหินเพิ่มสูงขึ้นมากจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เป็นประมาณ 90 — 140 เหรียญสหรัฐ/ ตัน จากประมาณ 50 — 80 เหรียญสหรัฐ/ตันในปี 2550 ก่อนที่ราคาถ่านหินจะเริ่มลดลงในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 เหลือประมาณ 50 — 70 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากภาวะราคาน้ำมันที่ลดต่ำลง รวมทั้งปริมาณความต้องการถ่านหินในช่วงปลายปีเริ่มลดลง เนื่องจากวิสาหกิจของไทยที่เป็นผู้นำเข้า/ผู้ใช้ถ่านหินได้สต็อกถ่านหินไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อป้องกันเรื่องราคาถ่านหินที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงมากดังเช่นในช่วงต้นปี อย่างไรก็ดี มูลค่าการนำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียโดยเฉลี่ยทั้งปี 2551 มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมาก และมีมูลค่าการนำเข้าสูงเป็นอันดับหนึ่ง ต่างจากปี 2550 ซึ่งสินค้าที่มีมูลค่านำเข้าเป็นอันดับหนึ่งคือสินแร่โลหะ โดยถ่านหินเป็นอันดับที่สอง
2) สินแร่โลหะและเศษโลหะ: อินโดนีเซียเป็นแหล่งทรัพยากรสินแร่และเป็นผู้ส่งออกสินแร่โลหะที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่ เงิน ดีบุก นิเกิล เหล็ก และบ็อกไซด์ เป็นต้น ซึ่งไทยนำเข้าสินแร่โลหะจากอินโดนีเซีย รวมทั้งเศษโลหะ เช่น เศษเหล็ก จากอินโดนีเซียเป็นมูลค่าที่สูงถึง 673 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปี 2550
3) เรือและโครงสร้างที่ลอยน้ำ: ตัวเลขมูลค่าการนำเข้าปี 2551 เพิ่มสูงขึ้นมากเป็น 532 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเพียง 2.7 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2550 ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลส่วนใหญ่จะมิใช่มูลค่าการนำเข้าจริง แต่จะเป็นเพียงการบันทึกข้อมูลตัวเลข เนื่องจากรัฐบาลอินโดนีเซียออกกฎระเบียบใหม่เรื่องการทำประมง ซึ่งอนุญาตให้เรือที่มีสัญชาติอินโดนีเซียเท่านั้นจับปลาในน่านน้ำอินโดนีเซีย ทำให้เรือไทยที่มาทำประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียอยู่เดิมประมาณ 300 — 350 ลำ จะต้องเดินทางกลับไทย จึงปรากฏเป็นตัวเลขมูลค่าการนำเข้าเรือจากอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ไทยมีการนำเข้าเรือเฟอร์รี่จากอินโดนีเซียด้วย แต่เป็นมูลค่าที่ไม่มากนัก
4) เคมีภัณฑ์: ไทยมีความต้องการนำเข้าสินค้าเคมีภัณฑ์บางประเภทจากอินโดนีเซีย โดยมีการนำเข้าคิดเป็นมูลค่า 412 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งลดต่ำลงจากปี 2550 ประมาณร้อยละ 27 ขณะที่แนวโน้มความต้องการนำเข้าเคมีภัณฑ์จากไทยของอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้นในปี 2551
5) น้ำมันดิบ: อินโดนีเซียเป็นแหล่งน้ำมันที่สำคัญประเทศหนึ่ง และเคยเป็นสมาชิกของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) แต่ในปัจจุบันอินโดนีเซียได้ออกจากการเป็นสมาชิก OPEC แล้ว เนื่องจากเริ่มมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ซึ่งไม่สามารถผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อินโดนีเซียยังคงมีการส่งออกน้ำมันดิบไปยังต่างประเทศเพื่อนำไปกลั่น ซึ่งมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2551
6) เครื่องจักรไฟฟ้าและชิ้นส่วน: ไทยนำเข้าเครื่องจักรไฟฟ้าและชิ้นส่วนจากอินโดนีเซียเป็นมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 77 เนื่องจากความต้องการสินค้าประเภททุนของไทยเพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรม และราคาสินค้าดังกล่าวที่เพิ่มสูงขึ้น
7) เครื่องจักรและชิ้นส่วน: ไทยนำเข้าเครื่องจักรและชิ้นส่วนบางประเภทจากอินโดนีเซีย ซึ่งในขณะเดียวกันอินโดนีเซียนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจักรและชิ้นส่วนบางประเภทจากไทยเช่นเดียวกัน โดยในปี 2551 ไทยนำเข้าจากอินโดนีเซียเป็นมูลค่า 331 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่อินโดนีเซียนำเข้าจากไทยเป็นมูลค่าสูงถึง 417 เหรียญสหรัฐ
8) ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์: มูลค่าการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์บางประเภทจากอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเป็น 247 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าอินโดนีเซียนำเข้าสินค้าประเภทยานยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์จากไทยเป็นมูลค่าสูงเป็นอันดับหนึ่งคือประมาณ 1,530 ล้านเหรียญสหรัฐ
9) สินค้าประมง (สัตว์น้ำมีชีวิต แช่เย็น/ แช่แข็ง): มูลค่าการนำเข้าสินค้าประมงจากอินโดนีเซียในปี 2551 ลดลงประมาณร้อยละ 7 เหลือประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 216 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2550 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลอินโดนีเซียออกกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจประมง (มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 ม.ค. 51) ทำให้เรือประมงสัญชาติไทยไม่สามารถเข้ามาจับปลาในน่านน้ำอินโดนีเซียเพื่อนำปลากลับไปประเทศไทยได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่จะต้องร่วมดำเนินธุรกิจ (joint venture) กับนักธุรกิจอินโดนีเซียและต้องนำปลาที่จับได้มาขึ้นท่าหรือแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าในอินโดนีเซียก่อนทำการส่งออก ซึ่งเรือที่เข้ามาทำประมงจะต้องเป็นเรือสัญชาติอินโดนีเซีย (ทั้งนี้เรือประมงไทยที่มาร่วมทุน จะต้องจดทะเบียนเป็นสัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งจะเป็นสินทรัพย์ของอินโดนีเซีย) ดังนั้นในช่วงปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงเวลาในการปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินธุรกิจประมง ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าประมงจากอินโดนีเซียมีมูลค่าลดลง
10) กระดาษและผลิตภัณฑ์: เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ยังคงมีทรัพยากรป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ จึงมีวัตถุดิบในการผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ โดยในช่วงปี 2551 มูลค่าการนำเข้ากระดาษและผลิตภัณฑ์จากอินโดนีเซียเพิ่มสูงขึ้นเป็น 94 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากราคากระดาษในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น
ดุลการค้าระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย
เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกและการนำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับอินโดนีเซียในปี 2551 มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปยังอินโดนีเซียคือประมาณ 6,325 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยจากอินโดนีเซีย เป็นที่น่าสังเกตว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 เป็นประมาณ 5,394 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าหลักซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบ/ทรัพยากรธรรมชาติมีราคาสูงขึ้นในปี 2551 ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
อย่างไรก็ดีในแง่ของดุลการค้า ไทยยังเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ากับอินโดนีเซีย เนื่องจากมูลค่าการส่งออกสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซีย โดยได้เปรียบดุลการค้าประมาณ 930 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าปี 2550 ที่ไทยได้เปรียบดุลการค้าประมาณ 830 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปี 2551 ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ซึ่งรวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งอินโดนีเซีย โดยเริ่มส่งสัญญาณในเดือนพฤศจิกายน 2551 จากค่าเงินรูเปียที่อ่อนตัวลงตกมาอยู่ในระดับประมาณ 12,000 รูเปีย/ เหรียญสหรัฐ จากเดิมในระดับประมาณ 9,000 — 9,500 รูเปีย/ เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้คาดว่าในปี 2552 ค่าเงินรูเปียจะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงปลายปี 2551 แต่ยังคงอ่อนตัวอยู่ในระดับประมาณ 10,000 รูเปีย/ เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปบางประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่น จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่ออินโดนีเซีย โดยเฉพาะภาคการส่งออก เนื่องจากประเทศดังกล่าวเป็นตลาดส่งออกหลักของอินโดนีเซีย ซึ่งอันดับหนึ่งคือญี่ปุ่น อันดับสองคือสหรัฐอเมริกา และรองลงมาคือสิงคโปร์ ทั้งนี้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังส่งผลต่อการส่งออกของอินโดนีเซีย จากผลกระทบต่อเนื่อง (domino effect) ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งสัดส่วนการส่งออกของอินโดนีเซียไปยังตลาดสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน รวมกันคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกจากอินโดนีเซียถึงร้อยละ 45
ดังนั้นภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กระทบต่อภาคการส่งออกของอินโดนีเซีย และกระทบต่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียโดยรวม จะส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการจากต่างประเทศของอินโดนีเซีย ทำให้แนวโน้มการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศในปี 2552 ลดลง นอกจากนี้รัฐบาลอินโดนีเซียยังได้มีการแถลงนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ (โดยรัฐมนตรีการค้า เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2551) แจ้งว่ารัฐบาลอินโดนีเซียจะออกชุดมาตรการ/นโยบายในปี 2552 นี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน กระตุ้นการค้า และปกป้องตลาดภายในประเทศ (safeguarding domestic market) โดยล่าสุดกระทรวงการค้าได้ออกกฎระเบียบในลักษณะที่เป็นการควบคุมการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 5 กลุ่มสินค้าคือ อาหาร/เครื่องดื่ม เสื้อผ้า รองเท้า อิเล็กทรอนิกส์ และของเด็กเล่น ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกสินค้ามายังตลาดอินโดนีเซียในปี 2552 เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจของอินโดนีเซียเองซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งนโยบายควบคุมการนำเข้าของรัฐบาลเพื่อปกป้องตลาดภายในประเทศ
แม้ว่าในปี 2552 มีแนวโน้มว่าอินโดนีเซียมีนโยบายและจะออกชุดมาตรการเพื่อปกป้องตลาดภายใน ประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้ามายังอินโดนีเซีย แต่อินโดนีเซียก็นับเป็นตลาดที่สำคัญอย่างยิ่งของไทยในภูมิภาคอาเซียน โดยเป็นตลาดส่งออกของไทยอันดับ 3 ในอาเซียน และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 8 ของไทยในตลาดโลก นอกจากนี้อินโดนีเซียยังถือเป็นตลาดที่สินค้าไทยยังมีโอกาสและลู่ทางการค้าในตลาดนี้ เนื่องจาก
1. เป็นตลาดที่ใหญ่ และเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยมีประชากรซึ่งเป็นผู้บริโภคประมาณ 240 ล้านครน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของตลาดอาเซียนซึ่งมีประชากรประมาณ 550 ล้านคน
2. ประชาชนกลุ่มผู้มีฐานะ ซึ่งมีประมาณเกือบร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด คิดเป็นประมาณ 20 ล้านคน เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูงมาก
3. ภูมิประเทศอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทย โดยการขนส่งสินค้าทางเรือจะใช้เวลาประมาณ 5 — 7 วัน รวมทั้งเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย
4. ประเทศอยู่ระหว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง (ปี 2552 คาดว่าอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.5 — 5.5) ดังนั้นความต้องการสินค้า/บริการ โดยเฉพาะสินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภคจึงยังอยู่ในระดับสูง
5. ความรู้สึกของผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียที่มีต่อสินค้าไทยนั้น จะเป็นสินค้าที่ดีและมีคุณภาพ โดยเฉพาะสินค้าอาหารและผลไม้จากไทย สังเกตได้จากการที่อินโดนีเซียนิยมเรียกผลไม้ที่มีคุณภาพดีโดยมีคำว่า “Bangkok” เช่น ทุเรียน Durian Bangkok, มะม่วง Mangga Bangkok, มะพร้าว Kelapa Bangkok เป็นต้น
สำหรับสินค้าไทยที่ถือว่ามีโอกาสและลู่ทางในตลาดอินโดนีเซีย โดยเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในตลาดนี้ เพื่อพิจารณาจากมูลค่าการนำเข้ารวมทั้งแนวโน้มความต้องการของตลาดอินโดนีเซียแล้ว สินค้าไทยที่มีศักยภาพ ได้แก่ สินค้าอาหารทุกประเภทรวมทั้งผลไม้ไทย เช่น ทุเรียน ลำไย มะม่วง ลิ้นจี่ ส้ม ชมพู่ มะขามหวาน เป็นต้น เนื่องจากผลไม้ไทยจะมีรสชาติแตกต่างจากผลไม้พื้นเมืองของอินโดนีเซีย นอกจากนี้สินค้าอาหารสำเร็จรูปของไทยก็เป็นสินค้าที่นิยมในตลาดนี้ เช่น เครื่องปรุงรส อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง น้ำผลไม้ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ของขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น อย่างไรก็ดีสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม มีการควบคุมการนำเข้าที่เข้มงวดขึ้นจากกฎระเบียบนำเข้าใหม่ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว รวมทั้งมีความเข้มงวดเกี่ยวกับทะเบียน อย. โดยหากสินค้านำเข้าใดที่ยังไม่ได้เลขทะเบียน อย. จะไม่อนุญาตให้นำมาจำหน่ายในตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งการขอเลขทะเบียน อย. ในทางปฏิบัติจะใช้เวลานานมากคือประมาณ 6 เดือน — 2 ปี
สินค้าอื่นของไทยนอกเหนือจากสินค้าอาหารที่ถือว่ายังมีศักยภาพในตลาดอินโดนีเซีย ได้แก่ รถยนต์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ (แต่แนวโน้มความต้องการในปีนี้จะลดต่ำลงมากจากผลภาวะเศรษฐกิจ) เครื่องจักร/ ชิ้นส่วน น้ำตาล เหล็ก/ เหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ พลาสติก เครื่องปรับอากาศ/ชิ้นส่วน เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้แม้จะมีการคาดการณ์ว่าความต้องการสินค้า/บริการจากไทยในปี 2552 อาจมีแนวโน้มลดลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมทั้งกฎระเบียบการนำเข้าและจำหน่ายสินค้านำเข้าที่เข้มงวดขึ้นของอินโดนีเซีย แต่สินค้าดังกล่าวถือว่าเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในตลาดอินโดนีเซียเมื่อเทียบกับสินค้าอื่น ๆ
สำหรับภาคบริการของไทยที่ถือว่ามีศักยภาพในตลาดอินโดนีเซีย ได้แก่ การท่องเที่ยว เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากอินโดนีเซีย ค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก มีแหล่งท่องเที่ยวมาก คนอินโดนีเซียมีความรู้สึกที่ดีต่อประเทศไทยและคนไทย รวมทั้งการที่คนอินโดนีเซียนิยมเที่ยวในต่างประเทศในเทศกาลที่มีวันหยุดยาว เช่น อิดุลฟิตรี และตรุษจีน เป็นต้น ซึ่งไทยจะต้องแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นในความปลอดภัยในการเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศไทยก่อน นอกจากนี้บริการที่ยังมีศักยภาพของไทยคือ ธุรกิจบริการด้านการแพทย์ เนื่องจากบริการด้านการแพทย์ในอินโดนีเซีย มาตรฐานไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีฐานะรวมทั้งราคาสูงมาก ผู้มีฐานะส่วนใหญ่จึงนิยมเดินทางไปใช้บริการด้านการแพทย์ในสิงคโปร์ เนื่องจากสิงคโปร์ทำการตลาดในการบริการด้านการแพทย์ในตลาดอินโดนีเซียมานาน และมีความได้เปรียบทางด้านภาษาโดยใช้ภาษาบาฮาซาอินโดนีเซีย/มาเลเซียในการสื่อสาร ซึ่งบริการทางการแพทย์ของไทยมีคุณภาพสูงและราคาเหมาะสมนั้นสามารถแข่งขันได้ในตลาดนี้ แต่จะต้องทำการส่งเสริมธุรกิจด้านการแพทย์ของไทยให้เป็นที่รู้จักในตลาดนี้มากขึ้น
จากแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปี 2552 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำลงเหลือประมาณ (GDP Growth Rate) ร้อยละ 4.5 ในปี 2552 จากร้อยละ 6.1 ในปี 2551 และผลกระทบทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลอินโดนีเซียที่จะออกชุดมาตรการเพื่อปกป้องตลาดในประเทศ ควบคุมการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะดังกล่าวที่ประเทศผู้ส่งออกสินค้าอย่างไทยจะต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นความต้องการสินค้าไทยในตลาดอินโดนีเซีย ดังนั้นสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา ภายใต้กรมส่งเสริมการส่งออก จึงได้วางแผนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมสินค้าไทยในตลาดอินโดนีเซีย เพื่อแข่งขันกับสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศรวมทั้งสินค้าที่นำเข้าจากประเทศอื่น ๆ ในตลาดอินโดนีเซีย ได้แก่
1) งานส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้างสรรพสินค้า/ ซุปเปอร์มาร์เก็ตในอินโดนีเซีย
ในปี 2551 ที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงจาการ์ตา ได้จัดงานเทศกาลสินค้าไทย ซึ่งเป็นงานส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้างสรรพสินค้า/ ซุปเปอร์มาร์เก็ตในอินโดนีเซียรวม 7 แห่ง รวมทั้งสิ้น 59 สาขาในช่วงเดือนพฤษภาคม — สิงหาคม 2551 โดยเน้นช่วงฤดูกาลผลไม้ของไทย ซึ่งงานดังกล่าวประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยในช่วงการจัดงานเทศกาลสินค้าไทย ยอดจำหน่ายสินค้าไทยของห้างสรรพสินค้า/ซุปเปอร์มาร์เก็ตพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่มีการจัดงาน โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคคือ ผลไม้ไทย ได้แก่ ทุเรียนหมอนทอง ก้านยาว มะม่วง ส้ม ชมพู่ และลิ้นจี่ เป็นต้น และอาหารไทยโดยเฉพาะซ้อสปรุงรส น้ำผลไม้ และของขบเคี้ยว เป็นต้น
ในปี 2552 นี้ สำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงจาการ์ตา ภายใต้กรมส่งเสริมการส่งออก จึงได้มีแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้าง/ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งสำนักงานฯ กรุงจาการ์ตา ได้เข้าพบกับผู้บริหารของห้าง/ซุปเปอร์มาร์เก็ตในอินโดนีเซียที่ใหญ่และมีจำนวนหลายสาขา เพื่อหารือในเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดงานส่งเสริมการขายสินค้าไทยแล้ว โดยห้าง/ ซุปเปอร์มาร์เก็ตในอินโดนีเซียที่ตกลงจัดงานร่วมกับสำนักงานฯ และช่วงเวลาในการจัดงานเป็นดังนี้
ห้าง/ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ช่วงเวลาการจัดงาน 1. Carrefour 15 — 31 พ.ค. 52 2. Matahari Group (Hypermart/ Food Mart) 15 — 31 พ.ค. 52 3. Sinar Supermartket (Surabaya) 24 เม.ย. — 29 พ.ค. 52 4. Diamond Supermarket 22 พ.ค. — 14 มิ.ย. 52 5. Hero Supermarket 1 — 30 มิ.ย. 52 6. Giant Hypermarket 1 — 30 มิ.ย. 52 7. Ranch Market 3 — 19 ก.ค. 52 8. Farmer’s Market 3 — 19 ก.ค. 52ทั้งนี้ในปี 2552 การจัดงานส่งเสริมสินค้าไทยกับห้าง/ ซุปเปอร์มาร์เก็ตในอินโดนีเซีย จะขยายตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากคาดว่าจะมีห้าง/ ซุปเปอร์มาร์เก็ตสนใจที่จะจัดงานร่วมกับสำนักงานฯ เพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะรายที่เคยจัดงานร่วมกับสำนักงานฯ ในปีที่ผ่านมา เช่น Yogya Department Store ที่เมืองบันดุง รวมทั้งห้างที่ตกลงจัดงานร่วมกับสำนักงานฯในปีนี้ ซึ่งสามารถเจรจาต่อรองการจัดงานกับห้าง Carrefour ได้ หลังจากที่ไม่ได้จัดงานร่วมกันเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว (เนื่องจากนโยบายของห้างฯ ที่ต้องการการสนับสนุนในการจัดงานมากเกินกว่าหลักเกณฑ์ที่จะสามารถตกลงกันได้) โดย Carrefour นับเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซียซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 75 สาขาทั่วอินโดนีเซีย และ Matahari Group ซึ่งมีการขยายธุรกิจโดยปัจจุบัน Hypermart และ Food Mart รวมกันมีจำนวน 76 สาขา รวมทั้งในปีนี้ห้าง Giant ซึ่งมิได้จัดงานร่วมกับสำนักงานฯ ในปีที่ผ่านมาเนื่องจากเพิ่งมีการปรับเปลี่ยนระบบบริหารภายใน ก็ได้ตอบรับการจัดงานส่งเสริมสินค้าไทยร่วมกับสำนักงานฯ ด้วย โดยมีจำนวนสาขาประมาณกว่า 20 สาขา
ลักษณะของงานส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้าง/ซุปเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าว จะเป็นการส่งเสริมการขายสินค้าไทยที่ห้าง/ซุปเปอร์มาร์เก็ตนำเข้ามาวางจำหน่ายอยู่แล้วในห้าง รวมทั้งแนะนำสินค้าไทยใหม่ ๆ ที่ผู้นำเข้าได้เข้ามาทำตลาดในอินโดนีเซีย ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นและเพิ่มความต้องการสินค้าไทยของผู้บริโภคอินโดนีเซีย และช่วยระบายผลไม้ไทยไปยังตลาดต่างประเทศในช่วงฤดูกาลผลไม้ รวมทั้งขยายตลาดสินค้าไทยในตลาดอินโดนีเซียนอกเหนือจากกรุงจาการ์ตาด้วย เนื่องจากจะเป็นการจัดงานกับห้าง/ ซุปเปอร์มาร์เก็ตในหลายสาขาทั่วอินโดนีเซีย รวมทั้งเมืองสำคัญ เช่น สุราบายา และเมดาน เป็นต้น
สำหรับสินค้าที่นำมาส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งสินค้าไทยเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับของตลาดอินโดนีเซีย แต่เริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดอินโดนีเซีย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดงานและกิจกรรมเพื่อกระตุ้นและขยายความต้องการสินค้าไทยในอินโดนีเซีย โดยสินค้าดังกล่าว ได้แก่ ผลไม้สด ผลไม้กระป๋อง อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรส ของขบเคี้ยว น้ำผลไม้ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง รวมทั้งเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น เครื่องครัวแสตนเลส เครื่องแก้ว เครื่องใช้ที่ทำด้วยผ้าและเซรามิค รวมทั้งสินค้า OTOP เป็นต้น ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าดังกล่าวมายังตลาดอินโดนีเซีย สำนักงานฯ ขอเรียนเชิญและขอความร่วมมือจากท่านในการประสานกับผู้นำเข้าสินค้าของท่านในอินโดนีเซีย ในการคิดกิจกรรมและให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าของท่านร่วมกับผู้นำเข้าในช่วงเวลาการจัดงานดังกล่าว ซึ่งความร่วมมือของทุกฝ่ายจะช่วยให้การส่งเสริมสินค้าไทยในตลาดอินโดนีเซียประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
2) งาน Made in Thailand Exhibition 2009, Jakarta
เป็นงานแสดงสินค้าไทยหลายประเภทสินค้า โดยลักษณะของงานจะมีการเชิญผู้ผลิต/ผู้ส่งออกจากประเทศไทย รวมทั้งผู้นำเข้าสินค้าไทยในอินโดนีเซียนำสินค้าไทยมาจัดแสดงเพื่อแนะนำสินค้า หาลูกค้า/ ผู้นำเข้า/ ผู้จัดจำหน่าย เพื่อแนะนำ กระตุ้นความต้องการ และขยายตลาดสินค้าไทยในอินโดนีเซีย ซึ่งในปี 2551 ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการส่งออกโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าฯ ณ กรุงจาการ์ตา ได้จัดงาน The 3rd Thailand Exhibition, Jakarta เป็นงานที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่กรุงจาการ์ตา ที่ศูนย์แสดงสินค้า Jakarta Convention Center ในระหว่างวันที่ 19 — 22 มิถุนายน 2551 โดยมีสินค้า/บริการที่นำมาจัดแสดงรวม 91 คูหาจาก 64 บริษัทไทยและ 10 บริษัทผู้นำเข้าสินค้าไทย ซึ่งงานในภาพรวมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยมีผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมากกว่า 16,000 คน ซึ่งมีนักธุรกิจและประชาชนเข้าชมงานในช่วงวันเจรจาการค้าประมาณ 2,600 คน มียอดจำหน่ายระหว่างงานเฉพาะที่มีการเก็บข้อมูลประมาณกว่า 5 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดจำหน่ายใน 1 ปีประมาณกว่า 30 ล้านบาท
ในปี 2552 นี้ กรมส่งเสริมการส่งออกมีแผนจัดงาน Made in Thailand Exhibition 2009, Jakarta ที่ศูนย์แสดงสินค้า Jakarta Convention Center (JCC) ในระหว่างวันที่ 9 — 12 กรกฎาคม 2552 โดยจะเปิดรับผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าดังกล่าวในงานประมาณ 90 คูหา ซึ่งขณะนี้กรมส่งเสริมการส่งออกอยู่ระหว่างการเปิดรับสมัครผู้ประกอบการไทยในการเข้าร่วมงานดังกล่าว โดยกรมฯ สนับสนุนค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่และได้ปรับลดค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานแก่ผู้ประกอบการไทยด้วยในปีนี้ ซึ่งเป็นนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ สำนักงานฯ กรุงจาการ์ตา จึงขอเชิญชวนผู้ผลิต/ผู้ส่งออกไทยที่สนใจที่จะเข้ามาเจาะหรือขยายตลาดในอินโดนีเซีย ในการสมัครเข้าร่วมงาน Made in Thailand Exhibition 2009, Jakarta ดังกล่าว (สามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากเวปไซด์กรมส่งเสริมการส่งออก www.depthai.go.th) ซึ่งจะเป็นโอกาสในการนำสินค้าของท่านเข้ามาแสดงในงานดังกล่าวเพื่อให้เป็นที่รู้จักในตลาดอินโดนีเซีย เพื่อเป็นการเจาะหรือขยายตลาดสินค้าไทยในอินโดนีเซีย ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนและเป็นตลาดที่มีศักยภาพ รวมทั้งยังมีความได้เปรียบของสินค้าไทยเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอินโดนีเซียว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาดของผู้ประกอบการไทยกอปรกับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการส่งออก จะช่วยให้การดำเนินกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศรวมทั้งในอินโดนีเซียประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น นอกเหนือกิจกรรมหลักดังกล่าวข้างต้น กรมส่งเสริมการส่งออกยังมีแผนการนำคณะผู้ประกอบการสินค้าประเภทเครื่องจักรและชิ้นส่วนจากไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้า Manufacturing Indonesia 2009 ที่กรุงจาการ์ตา ในระหว่างวันที่ 2 - 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าประเภทเครื่องจักรและชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน โดยกรมฯ สนับสนุนการเข้าร่วมงานในปีนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งการเข้าร่วมงาน 3 ครั้งที่ผ่านมา มีผู้สนใจสินค้าไทยที่นำเข้ามาแสดงในงาน มียอดสั่งซื้อในงานและประสบสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีการเชิญให้ผู้นำเข้า/นักธุรกิจอินโดนีเซียเดินทางไปประเทศไทย เพื่อเข้าชมงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในประเทศไทยและเพื่อพบเจรจาธุรกิจกับผู้ส่งออกสินค้าของไทย รวมทั้งการเดินทางไปเพื่อพบกับผู้ส่งออกไทยในงานเจรจาธุรกิจที่จัดขึ้นโดยเฉพาะสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าผลไม้ เป็นต้น ทั้งนี้การจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยในตลาดอินโดนีเซีย รวมทั้งการจัดคณะผู้นำเข้า/นักธุรกิจอินโดนีเซียเดินทางไปเจรจาธุรกิจในประเทศไทยและชมงานแสดงสินค้านั้น ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันดำเนินการเพื่อส่งเสริมสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเช่นในปัจจุบัน
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา
ที่มา: http://www.depthai.go.th