ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าออกสำคัญทั้งสิ้น 21,269.44 100.00 7.16 สินค้าเกษตรกรรม 2,528.23 11.89 28.68 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 1,560.02 7.33 25.53 สินค้าอุตสาหกรรม 16,884.92 79.39 3.18 สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 296.23 1.39 306.23 สินค้าอื่นๆ 0.04 0.0 -99.98 โครงสร้างสินค้าเข้าของไทยกับสหภาพยุโรป (15) มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลดล้านเหรียญสหรัฐฯ
นำเข้าทั้งสิ้น 13,835.82 100.00 19.43 สินค้าเชื้อเพลิง 48.12 0.35 36.98 สินค้าทุน 5,296.83 38.28 17.13 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 5,806.30 41.97 24.62 สินค้าบริโภค 2,181.73 15.77 19.63 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง 472.28 3.41 37.17 สินค้าอื่นๆ 30.57 0.22 -84.73 1. มูลค่าการค้า มูลค่าการนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าของไทย - สหภาพยุโรป (15) 2550 2551 D/%(ม.ค. - ธค.) ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวม 31,432.61 35,105.25 11.68 การส่งออก 19,848.06 21,269.44 7.16 การนำเข้า 11,584.55 13,835.82 19.43 ดุลการค้า 8,263.50 7,433.62 -10.04 2. การนำเข้า ประเทศไทยนำเข้าจากตลาดสหภาพยุโรป (15) มูลค่า 13,835.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.43 สินค้านำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลดล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการนำเข้ารวม 13,835.82 100.00 19.43 1.เครื่องจักรกลและส่วนฯ 2,381.27 17.21 23.18 2.เคมีภัณฑ์ 1,607.62 11.62 27.93 3.เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วน 1,002.09 7.24 2.20 4.ผลิตภัณฑ์เวชกรรม 755.96 5.46 20.63 5.เครื่องบิน เครื่องร่อน ฯ 300.95 2.18 -18.39 อื่น ๆ 1,876.01 13.56 10.87 3. การส่งออก ประเทศไทยส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรป (15) มูลค่า 21,269.44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.16 สินค้าส่งออกสำคัญ 5 อันดับแรก ได้แก่ มูลค่า : สัดส่วน % % เพิ่ม/ลดล้านเหรียญสหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกรวม 21,269.44 100.00 7.16 1. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ฯ 2,770.06 13.02 -1.35 2. อัญมณีและเครื่องประดับ 1,473.18 6.93 29.96 3. รถยนต์ อุปกรณ์ฯ 1,180.22 5.55 -18.41 4. เครื่องปรับอากาศและฯ 931.92 4.38 -10.76 5. เสื้อผ้าสำเร็จรูป 925.76 4.35 12.79 อื่น ๆ 5,357.21 25.19 4.57 4. ข้อสังเกต 4.1 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหภาพยุโรป (15) ปี 2551 (มค.-ธค.) ได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2551 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวลดลง (-1.35 %) ในขณะที่ปี 2548 2549 2550 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.03 28.99 และ 11.87 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
อัญมณีและเครื่องประดับ : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่ามีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 4.77 15.12 9.14 และ 29.96 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่าปี 2550 และ 2551 มีอัตราการขยายตัวลดลง (-3.68 % และ -18.41 %) ในขณะที่ปี 2548 2549 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.85 และ 54.03 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
เครื่องปรับอากาศฯ : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่าปี 2550 เป็นเพียงปีเดียวที่มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น (74.53 %) ในขณะที่ปี 2548 2549 2551 มีอัตราขยายตัวลดลงร้อยละ -19.13 -13.27 และ -10.76 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
เสื้อผ้าสำเร็จรูป : เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกปี 2547 - 2551 พบว่า ปี 2548 และ 2550 มีอัตราการขยายตัวลดลง (-0.72 %และ -2.43 %) ในขณะที่ปี 2549 2551 มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.03 และ 12.79 ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน
ขณะนี้ อียูได้เตรียมจัดทำร่างระเบียบเพื่อออกมาตรการเสริมในการควบคุมการตรวจสอบสินค้าผักผลไม้สดนำเข้า โดยจะตรวจเข้มทันที 50% ณ ด่านนำเข้า จากเดิมตรวจเพียง 10% ของปริมาณการนำเข้า และสัดส่วนการตรวจสอบอาจมีความเข้มงวดเพิ่มขึ้นได้ตามผลการตรวจสอบที่พบ ซึ่งจะมีการทบทวนทุก 3 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ปลายปี 2552 นี้ สำหรับสินค้าผักของไทยที่จะถูกตรวจสอบยาฆ่าแมลงตกค้างอย่างเข้มงวดเพิ่มขึ้น ขณะนี้มี 3 รายการ ได้แก่ ถั่วฝักยาว มะเขือ และกะหล่ำปลี การดำเนินการของอียูดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการตรวจพบยาฆ่าแมลงตกค้างในสินค้าผักผลไม้ และได้มีการแจ้งเตือนประเทศสมาชิกผ่านระบบเตือนภัยเร่งด่วนสำหรับอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ (Rapid Alert System for Food and Feed : RASFF) รวมทั้งผลการประเมินของคณะตรวจสอบของอียูที่เดินทางมาตรวจประเมินการควบคุมยาฆ่าแมลงตกค้างในประเทศผู้ส่งออก รวมทั้งประเทศไทย สำหรับไทยในปีที่ผ่านมามีสินค้าผักที่ถูกแจ้งเตือนผ่านระบบดังกล่าวจำนวนมาก เช่น โหระพา กระถิน กะเพรา กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว ผักชี และมะเขือม่วง เป็นต้น อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำเข้าสินค้าผักสดหรือแช่เย็น แช่แข็งจากไทย ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อบริโภคของชุมชนคนเอเชียในยุโรปเป็นหลัก การที่ไทยจะสามารถรักษาตลาดสหภาพยุโรปไว้ได้จำเป็นต้องดำเนินการตามระเบียบความปลอดภัยด้านอาหารที่เข้มงวดของสหภาพยุโรป ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งปรับปรุงมาตรฐานสินค้า และระมัดระวังในการใช้ยาฆ่าแมลงให้มากยิ่งขึ้น เพื่อ มิให้เกิดผลกระทบต่อการส่งสินค้าผักผลไม้ของไทยโดยรวม
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยหลังร่วมในพิธีปล่อยเรือ Halul 40 (ฮาลูล โฟร์ตี้) ซึ่งเป็นเรือเอนกประสงค์ซึ่งเป็นของบริษัทอิตัลไทยมารีน จำกัด ผลิตให้แก่ บริษัทฮาบูล ออฟชอร์ เซอร์วิสคอมปานี จากประเทศกาตาร์ ว่าอุตสาหกรรมการต่อเรือและซ่อมเรือของไทยในปัจจุบันมีศักยภาพในด้านคุณภาพการผลิต และได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ทำให้ทิศทางของอุตสาหกรรมต่อเรือของไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและความต้องการของเรือคอนเทนเนอร์หรือเรือบรรทุกสินค้าของตลาดโลกก็มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ไทยได้รับคำสั่งให้ต่อเรือมากขึ้นตามไปด้วย โดยปี 2551 มีมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนในการดำเนินการกิจการต่อเรือหรือซ่อมเรือขนาดตั้งแต่ 500 ตัน รวม 460 ล้านบาท โดยภาครัฐมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือและซ่อมเรือในไทย ตั้งเป้าจะเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำในภูมิภาค บริษัท อิตัลไทยมารีน จำกัด กล่าวว่า กิจการอู่ต่อเรือของบริษัทมีแนวโน้มที่ดี โดยปีนี้คาดว่าจะมีอัตราเติบโต 30% เนื่องจากภายหลังการปรับราคาน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ผ่านมา ส่งผลให้ต้องมีการลงทุนผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้เรือเอนกประสงค์เพื่อให้บริการสำหรับแท่นเจาะน้ำมันในทะเลมีความจำเป็นเพิ่มตามไปด้วย บริษัทวางแผนที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในอนาคต โดยเฉพาะใน กล่มลูกคาจากตะวันออกกลางและสหภาพยุโรปซึ่งให้ความสนใจในการต่อเรือในไทย เนื่องจากเชื่อมั่นในคุณภาพและแรงงานที่มีฝีมือในการต่อเรือสูงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคแม้ว่าการผลิตเรือในไทยจะมีต้นทุนสูงกว่าประเทศอื่น เช่น จีน เวียดนาม สิงคโปร์ถึง 40% แต่ไทยได้เปรียบที่แรงงานมีฝีมือและคุณภาพการผลิต ทำให้ลูกค้ายังให้ความสนใจที่จะผลิตเรือที่เมืองไทย
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้จัดทำระเบียบ RoHS ของประเทศไทย (ThaiRoHS) โดยสมอ.จะจัดทำแผนหลักว่าด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จะบังคับตามระเบียบดังกล่าว ซึ่งในเดือนเม.ย.จะประชุมระดมความคิดเห็น จากกลุ่มผู้ประกอบการ ภาคนโยบายและนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปและออกเป็นคู่มือสำหรับผู้ประกอบการเตรียมตัวรับระเบียบใหม่ ก่อนที่จะประกาศเป็นระเบียบบังคับใช้เฟสแรกในอีก 2 ปีถัดไป RoHS หรือระเบียบการว่าด้วยการจำกัดสารที่เป็นอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สหภาพยุโรปบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค.2549 ระบุห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ปนเปื้อนสารอันตราย 6 ชนิดคือ ตะกั่ว, ปรอท, แคดเมียม, เฮกซาวาเลนต์, โครเมียม พอลิโบรมิเนต ไบฟีนิลส์ (PBB) และพอลิโบรมิเนต ไดฟีนิลส์ อีเทอร์ (PBDE) ขณะที่ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปอียูกว่าปีละ 1.5 ล้านล้านบาท จึงจำเป็นต้องเดินตามกฎข้อบังคับเพื่อเพิ่มหรือคงปริมาณการส่งออกสินค้า ซึ่งจำเป็นต้องกำหนดกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายบังคับใช้ RoHS ให้ชัดเจน เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดอย่างอุปกรณ์การแพทย์และเครื่องควบคุม รวมถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มส่องสว่าง สำหรับระเบียบของไทยแล้วไม่รวมอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การบังคับใช้ RoHS ของสหราชอาณาจักร จะพิจารณาจากเอกสารการรับรอง ระบบข้อมูลย้อนหลังและประวัติบริษัท หากพบผลิตภัณฑ์ไม่ผ่าน ก็จะนำเสนอเรื่องสู่สาธารณะ เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้ประกอบการรายอื่นได้เรียนรู้ และไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก สหราชอาณาจักรยังมีข้อยกเว้นเฉพาะกรณีตรวจพบสารอันตรายในผลิตภัณฑ์โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการพิสูจน์แก้ข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตามกลไกลักษณะนี้มีใช้ในบางประเทศสมาชิกเท่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมายฉะนั้น ผู้ส่งออกจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลของประเทศคู่ค้าให้ชัดเจน คณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า แม้ว่า RoHS ได้รับการตอบรับที่ดีจากประเทศต่างๆ แต่ยังต้องทบทวนกฎหมายโดยคณะกรรมาธิการสภาพยุโรป ที่อาจจะเพิ่มชนิดสารต้องห้ามรวมถึงปรับปรุงรายการข้อยกเว้น ด้วยเหตุนี้ การประกาศใช้ ThaiRoHS ควรจะรอผลการทบทวนดังกล่าวก่อน
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่าผู้ประกอบการไทยที่ส่งสินค้าสิ่งทอไปจำหน่ายในยุโรป (อียู) ควรใช้ชื่อและติดฉลากสินค้าสิ่งทอให้ถูกต้องตามประกาศกฎระเบียบว่าด้วยชื่อของสิ่งทอและการติดฉลากสินค้าสิ่งทอก่อนส่งออกต่อไปเพราะขณะนี้คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศระเบียบว่าด้วยชื่อของสิ่งทอและการติดฉลากสินค้าสิ่งทอเพิ่มเติมโดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับชือ่และคำบรรยายประเภทของเส้นใย ตามส่วนผสมของวัตถุดิบที่ใช้ในสินค้า และตามลักษณะของสินค้า รวมทั้งการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิตที่นำเส้นใยเป็นวัตถุดิบในการผลิต นอกจากนั้นเพื่อเป็นการจัดระเบียบการวางจำหน่ายสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศในตลาดอียูทั้งหมด ยังมีการกำหนดการให้ข้อมูลสัดส่วนของส่วนผสมเส้นใยในฉลากที่ติดกับสินค้า ต้องสามารถวิเคราะห์และตรวจสอบส่วนผสมของเส้นใยได้ ซึ่งการประกาศกฎระเบียบดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับนวัตกรรมการผลิตและการพัฒนาเส้นใย มีผลใช้บังคับในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2549-2551 ประเทศไทยส่งออกสินค้าสิ่งทอไปสหภาพยุโรปมีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 47,017 ล้านบาท แต่ในปี 2551 ที่ผ่านมาไทยส่งออกสินค้าไปอียูมูลคท่า 45,122 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 1.3% จากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลงทั่วโลกรวมทั้งตลาดยุโรปด้วย การปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเข้มงวดจะช่วยให้สินค้าที่ส่งออกไปไม่เกิดปัญหา และกระทบต่อการส่งออกสินค้าในกลุ่มสิ่งทอในภาพรวมให้ปรับลดลงต่อเนื่องอีกในปีนี้
ที่มา: http://www.depthai.go.th