การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศเม็กซิโก

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 19, 2009 15:37 —กรมส่งเสริมการส่งออก

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 รัฐสภาของเม็กซิโกได้ลงมติผ่านการอนุมัติข้อเสนองบประมาณและแผนการปรับโครงสร้างภาษีของประธานาธิบดีแคเดรอนในระดับที่อ่อนกว่าข้อเสนอเดิม โดยได้อนุมัติให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 1 แทนการเก็บภาษีใหม่ร้อยละ 2 อนุมัติการเก็บภาษีโทรคมนาคมเพียงร้อยละ 3 โดยไม่ให้เก็บจากบริการอินเตอร์เน็ต เพิ่มภาษีรายได้สำหรับผู้ที่รายได้มากกว่า 10,300 เปโซ ต่อเดือนจากร้อยละ 28 เป็นร้อยละ 30 (อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 12.50 เปโซ = 1 เหรียญสหรัฐฯ) และเพิ่มภาษีเบียร์จากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 26.5 เพิ่มภาษีสุราจากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 53 รวมทั้งกำหนดราคาน้ำมันที่จะใช้ในการคำนวณงบประมาณปี 2552 ให้เท่ากับ 59 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาเรล และกำหนดการขาดดุลงบประมาณที่ร้อยละ 0.75 ของผลผลิตประชาชาติ

โดยเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 ปลัดกระทรวงการคลังเม็กซิโกได้แถลงข่าวว่า รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับปี 2552 ได้ลดลงจากปี 2551 ร้อยละ 17.5 ซึ่งลดลงมากกว่ารายได้จากภาษีอื่น ๆ ที่ลดลงร้อยละ 10.8 ในช่วงเดียวกัน ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดน้อยลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มจากน้ำมันที่ลดลง

โครงสร้างภาษีของเม็กซิโกได้รับการปรับปรุงโครงสร้างครั้งหลังสุดเมื่อปี ค.ศ. 1986 และ ค.ศ. 1988 สรุปโครงสร้างภาษีสำคัญคือ ภาษีที่รัฐบาลกลางเป็นผู้จัดเก็บ (Federal tax):

1. ภาษีรายได้ ซี่งแบ่งภาษีย่อย ได้แก่ ภาษีรายได้บริษัท ในอัตราร้อยละ 35 โดยภาษีขั้นต่ำสำหรับธุรกิจคือ asset tax ในอัตราร้อยละ 2 ของมูลค่าทรัพย์สินบริษัท และรายได้ภาษีประเภทบุคคล (ISR) ในอัตราร้อยละ 28

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (IVA) ในอัตราร้อยละ 15 สำหรับการขายสินค้า บริการ โดยมีการยกเว้นภาษีดังกล่าวสำหรับอาหารและยาบางประเภท

3. ภาษีนำเข้าและส่งออก

4. การหักอัตราร้อยละ 1 ของเงินเดือน เพื่อสมทบเข้ากองทุนสังคมสงเคราะห์และกองทุนเพื่อการซื้อบ้านอยู่อาศัย

5. ภาษีสรรพสามิต สำหรับกิจกรรมการขุดเหมือนแร่ ภาษีบุหรี่ ภาษีสุรา ภาษีน้ำมัน ภาษีบริ

6. การโทรคมนาคม ภาษีรถยนต์ ฯลฯ

ภาษีที่จ่ายท้องถิ่น หรือสำนักงานเทศบาล (Local tax):

1. ภาษีอสังหาริมทรัพย์ (property tax)

2. ภาษีเงินเดือนซึ่งนายจ้างเป็นผู้จ่าย (salary tax)

3. ภาษีการขายอสังหาริมทรัพย์

การวิเคราะห์โครงสร้างภาษีในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า รัฐบาลเม็กซิโกเป็นประเทศที่เก็บภาษีได้ต่ำสุดในประเทศสมาชิกกลุ่ม OECD โดยรัฐบาลเม็กซิโกเก็บภาษีได้ประมาณร้อยละ 10 ของผลผลิตประชาชาติในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1980-1990 และเก็บได้ประมาณร้อยละ 10-20 ระหว่างปี ค.ศ. 1990-2007 ในขณะที่ประเทศ OECD โดยส่วนใหญ่เก็บภาษีได้ประมาณร้อยละ 30-40 ของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ GDP

แม้กระทั่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศละตินอเมริกาด้วยกันแล้ว การเก็บภาษีของเม็กซิโกจัดว่าอยู่ในอันดับต่ำมาก ทั้งนี้ การวิเคราะห์ได้ให้เหตุผลว่า สืบเนื่องจากโครงสร้างการเก็บภาษีของเม็กซิโกที่ขาดประสิทธิภาพ มีขั้นตอนยุ่งยาก และมีข้อยกเว้นมากมาย ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้หลายช่องทาง รวมทั้งผู้เสียภาษีไม่เต็มใจจ่ายภาษีเนื่องจากมีทัศนคติว่ารัฐบาลมีการทุจริตโกงกินกันมาก ฉะนั้น รัฐบาลเม็กซิโกจึงมีความจำเป็นอย่างสูงที่ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี แก้ไขปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษี และสร้างภาพพจน์ของรัฐบาลให้เกิดความเชื่อมั่นในการบริหารรายได้ของรัฐบาล

ปัญหาของรายได้รัฐบาลเม็กซิโกสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การพึ่งรายได้จากกาผลิตและการส่งออกน้ำมันเป็นรายได้หลัก โดยปริมาณการผลิตน้ำมันของเม็กซิโกได้เริ่มลดลงอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่าน ๆ มาเนื่องจากบ่อน้ำมันสำคัญของเม็กซิโกได้ผ่านช่วงการผลิตสูงสุดลงแล้ว รวมทั้งโครงสร้างการเก็บภาษีน้ำมันไม่ได้เอื้ออำนวยให้นำกำไรจากการผลิตและส่งออกน้ำมันไปลงทุนสำรวจหาแหล่งน้ำมันใหม่เพิ่มเติม

วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงปี พ.ศ. 2551-2552 ผนวกกับการลดลงอย่างกระทันหันของการผลิตน้ำมันใน 2 ปีที่ผ่านมา ได้สร้างแรงกดดันแก่รายได้ของรัฐบาลเม็กซิโกอย่างมาก อันเป็นผลให้สถาบันการเงินจัดอันดับ (rating agencies) ของ Moody & Fitch ได้ประกาศว่าหากรัฐบาลเม็กซิโกไม่ปรับโครงสร้างภาษี หรือบริหารรายได้รายจ่ายของรัฐบาลให้มีสมดุลมากขึ้นอย่างเร่งด่วน การจัดอันดับความสามารถทางเศรษฐกิจของเม็กซิโก (sovereign rating) ซึ่งอยู่ในระดับไม่ดีนัก คือ BBB negative outlook จะต้องถูกลดลงอีก

มาตรการฉุกเฉินที่ประธานาธิบดีแคเดรอนได้ตัดสินใจอย่างฉับพลันเพื่อลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ได้แก่ การสั่งปิดหน่วยงานของรัฐบาล 3 หน่วยงานในระดับกรทรวง อันได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว สำนักงานปฏิรูปการเกษตร และสำนักงานบริการประชาชน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากงบประมาณของทั้ง 3 หน่วยงานได้ผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว จึงเกิดปัญหาทางกฎหมาย และมีมติยังไม่ปิดหน่วยงานดังกล่าว

ในการเปิดการพิจารณางบประมาณปี 2553 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีแคลเดรอนได้เสนอแผนงานการปรับโครงสร้างภาษี โดยมีประเด็นสำคัญ คือ

  • แผนงานปรับโครงสร้างภาษีที่เสนอจะเพิ่มความสามารถในการเก็บภาษีได้อีกร้อยละ 2.5 ของผลผลิตประชาชาติ
  • เสนอการเก็บภาษีการบริโภค (consumer tax) ร้อยละ 2 และเพิ่มภาษีรายได้ขั้นต่ำสำหรับกิจการการค้า จากร้อยละ 16.5 โดยทยอยเพิ่มให้เป็นร้อยละ 17.5 ภายในปี 2553 และเก็บภาษีโทรคมนาคมร้อยละ 4
  • จะเพิ่มมาตรการลงโทษผู้ที่หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี โดยการหักภาษีร้อยละ 2 จากบัญชีเงินฝากของกิจการพ่อค้าขายปลีก
  • จะอนุมัติให้บริษัทน้ำมันแห่งชาติ Pemex ใช้รายได้จากการขายน้ำมันเพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อการสำรวจขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันเพิ่มเติม

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเม็กซิโก

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ