การว่างงานในสหรัฐอเมริกาในช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ 2553

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 23, 2010 14:47 —กรมส่งเสริมการส่งออก

สำนักงานสถิติแรงงาน (กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ (Bureau of Labor Statistics, US Department of Labor) รายงานอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ว่ายังคงอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 9.7 ซึ่งอยุ่ในระดับเดียวกันกับเดือนมกราคม 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐฯมีจำนวนประชากรที่ว่างงานทั้งหมด 15 ล้านคน โดยแยกเป็น แรงงานชายร้อยละ 10 แรงงานสตรีร้อยละ 10 แรงงานเด็กวัยรุ่น ร้อยละ 26.1 หรือแยกตามผิว เป็นแรงงานผิวขาว ร้อยละ 8.8 แรงงานผิวดำ ร้อยละ 16.5 แรงงานกลุ่มฮิสแปนิก ร้อยละ 12.6 และ และแรงงานกลุ่มเอเซีย ร้อยละ 7.5

อัตราการการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ของมลรัฐต่างๆ จำนวน 50 รัฐของสหรัฐฯ นั้น มีจำนวน 27 มลรัฐ มีอัตราการว่างขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น จำนวน 9 มลรัฐฯ มีอัตราการว่างงานลดลง และ อีกจำนวน 16 มลรัฐ มีอัตราการว่างงานคงเดิมหรือไม่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนั้นแล้ว มีมลรัฐที่มีอัตราการว่างงานสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศร้อยละ 9.7 มีจำนวน 18 มลรัฐ โดยมีมลรัฐ Michigan มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดของประเทศ หรือร้อยละ 14.1 มลรัฐ Nevada สูงเป็นอันดับที่ 2 ร้อยละ 13.0 และ มลรัฐ Rhode Island มีอัตราการว่างงานสูงเป็นอันดับที่ 3 ร้อยละ 12.7

มลรัฐมีอัตราการว่างงานที่ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศมีจำนวน 32 มลรัฐ โดยมีมลรัฐ North Dakota มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดของประเทศ ร้อยละ 4.1 มลรัฐที่มีอัตราการว่างงานต่ำรองลงไป คือมลรัฐ Nebraska ร้อยละ 4.8 มลรัฐ South Dakota ร้อยละ 4.58 และ มลรัฐ Kansas ร้อยละ 6.5 เป็นต้น

สถานการณ์การว่างงานของมลรัฐในสหรัฐอเมริกา

มลรัฐ 10 รัฐ ที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดของประเทศ

อันดับ      มลรัฐ               มค.53     กพ.53            อันดับ        มลรัฐ       มค.53     กพ.53
 1      Michigan             14.3       14.1             1     North Dakota     4.2       4.1
 2      Nevada               13.0       13.2             2     Nebraska         4.6       4.8
 3      Rhode Island         12.7       12.7             3     South Dakot      4.8       4.8
 4      California           12.5       12.5             4     Kansas           6.4       6.5
 5      South Carolina       12.6       12.5             5     Vermont          6.7       6.6
 6      Florida              11.7       12.2             6     Iowa             6.6       6.7
 7      District of Columbia 12.0       11.9             7     Oklahoma         6.7       6.7
 8      Illinois             11.3       11.4             8     Montana          6.8       6.9
 9      Mississippi          10.9       11.4             9     Hawaii           6.9       6.9
10      North Carolina       10.8       11.2            10     Utah             6.8       7.1
            USA               9.7        9.7                         USA        9.7       9.7
ที่มา: Bureau of Labor Statistics, US Department of Labor


             เมืองที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดของสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2553
ลำดับ           เมือง และ มลรัฐ                      อัตรา                จำนวนประชากร
                                               การว่างงาน(%)              ของเมือง
 1           Fargo, North Dakota                  4.6                    200,102
 2           Lincoln, Nebraska                    4.9                    251,624
 3           Bismarck, North Dakota               5.0                    104,944
 3           Grand Forks, North Dakota            5.0                     97,279
 3           Houma-Bayou ane-Thibodaux, Louisiana 5.0                    202,973
 3           Iowa City, Iowa                      5.0                    149,437
 7           Manhattan, Kansas                    5.2                    149,437
 8           Ames, Iowa                           5.3                     86,754
 9           Sioux Falls, South Dakota            5.4                    232,930
10           Lafayette, Lousiana                  5.5                    113,656
ข้อสังเกต

1. มลรัฐ 10 อันดับแรกที่มีอัตราการว่างงานสูงกว่าอัตราการว่างงานสูงที่สุดของประเทศ มักจะเป็นรัฐขนาดใหญ่ มีประชากรมาก และอุตสาหกรรมมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของมลรัฐ เช่น California, Michigan, Illinois, Florida หรือ มีเมืองขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของมลรัฐ หรือ มลรัฐที่มีกลุ่มแรงงานผิวดำในอัตราสูง เช่น South Carolina, Mississipi และ Discrict of Columbia

2. จะเห็นว่าเขตตอนกลางของประเทศสหรัฐฯ (เขตความดูแลของสคร.ชิคาโก) เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดของประเทศ หรือ จำนวน 6 มลรัฐฯ จากจำนวนมลรัฐที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดของประเทศจำนวน 10 มลรัฐ ซึ่งได้แก่ มลรัฐ North Dakota ร้อยละ 4.1 มลรัฐ Nebraska และ มลรัฐ South Dakota ร้อยละ 4.8 มลรัฐ Kansas ร้อยละ 6.5 มลรัฐ Iowas และมลรัฐ Oklahoma ร้อละ 6.7

3. พื้นที่ที่มีอัตราการว่างงานต่ำจำนวน 6 มลรัฐ ตั้งอยู่ในเขตตอนกลางของประเทศ ซึ่งพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นเกษตรกรรม ได้แก่ การปลูก ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี และการทำปศุสัตว์ (วัว ไก่ หมู) การปลดแรงงานมีอัตราต่ำ ในขณะที่ ภาคการผลิตทางอุตสาหกรรมมีสัดส่วนต่ำ ถึงแม้จะมีการปลดคนงานบ้าง แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวการเพิ่มอัตราการว่างงานในอัตราที่สูงได้ แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของมลรัฐที่กล่าวถึง 6 มลรัฐ ค่อนข้างมีเสถียรภาพ และผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง

4. นอกจากนั้น เมืองที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดของประเทศ 10 อันดับแรก ได้แก่ Fargo (ND), Lincoln (NE), Bismarck (ND), Grand Forks(ND), Iowa City (IA), Manhattan (KS) และ Ames (IA) เป็นต้น ตั้งอยู่ในเขตตอนกลางของประเทศ ซึ่งเป็นเขตที่มีอัตราการว่างงานต่ำของประเทศ

5. ปัจจุบัน ไม่มีการลงทุนในกิจการที่สร้างงานได้จำนวนมากในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในมลรัฐที่เป็นหัวใจทางเศรษฐกิจซึ่งมีอัตราการว่างงานสูงมากของประเทศ เช่น California, Florida, Illinois และ Michigan ซึ่งรวมกันมีคนว่างงานประมาณ 8.5 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการว่างงานรวมของประเทศ ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและการสร้างงานได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยถ่วงต่อการลดอัตราการว่างงานรวมของประเทศ

บทสรุป

ปัจจุบัน รัฐบาลท้องถิ่นในแต่มลรัฐพยายาม แก้ไขปัญหาและหาทางฟื้นฟูเศรษฐกิจของตน โดยการมุ่งการเพิ่มการจ้างงาน โดยรัฐพยายามผลักดันเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ (New Economy) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มลรัฐในเขตตอนกลางของประเทศ มักจะเน็นการประยุกต์ระหว่างเทคโนโลยี่และผลผลิตทางเกษตร ในรูปพลังงานทดแทน (Renewal Energy) ได้แก่ BioFuel, Wind Energy และ Bio Mass Energy เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserved Bank) คาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานในสหรัฐในปี 2553 ยังคงอยู่ในระดับสูงประมาณร้อยละ 9.5 ถึง ร้อยละ 9.7 เนื่องจากภาคเอกชนยังชะลอการลงทุนหรือเพิ่มการผลิตในอัตราต่ำ สถานการณ์การว่างงานของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และตลาดแรงงานในสหรัฐฯ จะคืนสู่ภาวะปกติได้ ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อย่างน้อย 2-3 ปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า การว่างงานจะค่อยๆ ลดระดับลงมาสู่ระดับร้อยละ 6.6 -7.5 ในปี 2555

ในขณะที่มลรัฐส่วนใหญ่มีอัตราการว่างงานในระดับสูง แต่พื้นที่ในเขตตอนกลางของประเทศบางส่วนจำนวน 6 มลรัฐ มีเศรษฐกิจแข็งแรง อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคในเขตนี้มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะเป็นลู่ทางที่จะเพิ่มปริมาณและจำนวนสินค้าไทยในพื้นที่ดังกล่าวได้ และจากการศึกษาการวางกลยุทธ์การเจาะตลาดสินค้าไทยเข้าตลาดตอนกลางของประเทศ (Midland) สหรัฐอเมริกา ของสคร.ชิคาโกในปี 2252 พบว่า กลยุทธ์การสนับสนุนการขยายตลาดสินค้าไทยในเขตดังกล่าวนี้ คือ

1. การจัดคณะผู้แทนการค้าจากเขตตอนกลางของประเทศเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อดูศักยภาพการผลิตและเจรจาการค้ากับผู้ผลิต/ส่งออกไทย (In-Coming Mission) และ การจัดคณะผู้แทนการค้าผู้ผลิต/ส่งออกไทยเดินทางไปเจรจาการค้ากับกลุ่มเป้าหมายคู่ค้าในเขตตอนกลางของประเทศสหรัฐฯ (Out-going Missions)

2. สนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยเข้าช่องทางการกระจายสินค้าโดยใช้คลังสินค้าไทย (Warehouse) ในสหรัฐฯ เพื่อการจัดส่งให้แก่ลูกค้าที่ต้องการสินค้าไทย แต่ไม่สามารถสั่งซื้อจำนวนมากๆ หรือเป็นตู้คอนเทนเนอร์ได้

3. การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในสหรัฐฯที่จัดขึ้นในเขตตอนกลางของประเทศและส่วนอื่นของประเทศ เพื่อเป็นการตอกย้ำในเรื่องสินค้าไทยให้แก่ผู้ซื้อสหรัฐฯ ได้พบเห็น

4. การจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย นิทรรศการ การสาธิต การทดรอง และการจัดชิมสินค้าอาหารไทย

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครชิคาโก

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ