นโยบายข้าวโดยสรุปของสหรัฐฯอยู่บนพื้นฐานของการช่วยเหลือเกษตรกรข้าวดังนี้
1. การสนับสนุนราคาข้าวผ่านทางการทำสัญญาให้ผลิตข้าวที่เป็นสัญญาที่ยืดหยุ่นไม่ตายตัวระหว่างรัฐบาลและเกษตรกร
2. การจ่ายชำระเงินกู้เพื่อการตลาด มีพร้อมให้เมื่อราคาตลาดโลกต่ำกว่าราคาที่มีการกำหนดไว้ก่อนสำหรับคุณภาพของข้าวแต่ละชนิด
รายละเอียดของนโยบายข้าวของสหรัฐฯจะปรากฎอยู่ในกฎหมาย Farm Bill ที่จะมีการแก้ไข ดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานะการณ์อยู่เสมอ กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายการเกษตรของสหรัฐฯ
ในขณะนี้กระทรวงเกษตรสหรัฐฯประมาณการณ์สถานะการณ์ข้าวในปี 2009/10 ไว้ดังนี้
1. ผลผลิตข้าวเปลือกจะได้ประมาณ 99.59 ล้านเมตริกตัน มากกว่าในปีก่อนหน้านี้ประมาณร้อยละ 8 ทั้งนี้พิจารณาจากพื้นที่ปลูกข้าวที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและผลผลิตที่ได้รับที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ข้าวที่ผลิตได้มากขึ้นเป็นผลมาจากจำนวนข้าวเมล็ดกลางและเมล็ดสั้นที่เพิ่มขึ้น
2. ประมาณการณ์ว่าอุปทานข้าวจะเท่ากับ 122.89 ล้านเมตริกตันเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนหน้านี้ 0.72 ล้านเมตริกตัน การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในข้าวเมล็ดกลางและเมล็ดสั้น
3. การใช้ข้าวของสหรัฐฯคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 103.51 ล้านเมตริกตัน ส่วนใหญ่ของการเพิ่มขึ้นมาจากการใช้ข้าวเพื่อการส่งออกที่ประมาณการณ์ว่าจะเท่ากับ 44.8401 ล้านเมตริกตัน การใช้ภายในประเทศประมาณว่าจะเท่ากับ 58.66 ล้านเมตริกตัน
4. สต๊อกสุดท้ายของข้าวของสหรัฐฯประมาณการณ์ว่าจะเท่ากับ 19.38 ล้านเมตริกตัน สูงกว่าในปีก่อนหน้านี้ร้อยละ 41 ซึ่งเป็นสต๊อกข้าวที่สูงที่สุดเป็นอันดับสองตั้งแต่ปี 186/87 ข้าวที่เพิ่มขึ้นในสต๊อกส่วนใหญ่เป็นข้าวเมล็ดกลางและเมล็ดสั้น
5. ราคาเฉลี่ยข้าวที่ที่นาของข้าวทุกประเภทมีแนวโน้มลดลง
6. ราคาข้าวสีแล้วของสหรัฐฯที่เป็นข้าวเมล็ดยาวและเมล็ดกลางลดลง
ในขณะนี้ไม่มีปัญหาสำคัญใดๆ
ส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 75 เป็นการผลิตข้าวเมล็ดยาว (indica rice) แหล่งผลิตสำคัญคือรัฐทางภาคใต้ รองลงมาประมาณร้อยละ 25.4 เป็นข้าวเมล็ดกลางและที่เหลือเป็นข้าวเมล็ดสั้น แหล่งผลิตสำคัญคือรัฐแคลิฟอร์เนีย
3.1 พื้นที่ 3.10 ล้านเอเคอร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ 2,000 เอเคอร์
(ก) พื้นที่ปลูกข้าวเมล็ดกลางและเมล็ดสั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เป็น 845,00 เอเคอร์ เป็นพื้นที่ปลูกข้าวที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000/01
(ข) พื้นที่ปลูกข้าวเมล็ดยาวรปะมาณ 2.29 ล้านเอเคอร์น้อยกว่าในปีก่อนหน้านี้ร้อยละ 3
3.2 ปริมาณ/ผลผลิต เฉลี่ยประมาณ 7,085 ปอนด์ต่อเอเคอร์ มากกว่าผลผลิตในปีก่อนหน้านี้เอเคอร์ละ 239 ปอนด์และเป็นสถิติที่สูงเป็นอันดับสองเท่าที่เคยมีมา
(ก) ข้าวเมล็ดกลางและเมล็ดสั้นคาดว่าจะมีผลผลิตประมาณ 30.39 ล้านเมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ร้อยละ 33
(ข) ข้าวเมล็ดยาวคาดว่าจะผลิตได้ 69.17 ล้านเมตริกตันน้อยกว่าในปีก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ดีผลผลิตเฉลี่ยต่อเอเคอร์ที่คาดว่าจะเท่ากับ 6,743 ปอนด์ เป็นผลผลิตเฉลี่ยต่อเอเคอร์ที่สูงกว่าในปีก่อนหน้านี้ 221 ปอนด์
4.1 ประเภทข้าว
พิจารณาจากปริมาณของข้าวแต่ละประเภทที่จัดส่งออกไปวางจำหน่ายในตลาดจากการสำรวจในปี 2005 ของ USA Rice Federation พบว่า ข้าวที่นิยมบริโภคในตลาดสหรัฐฯคือ ข้าวขาวเมล็ดยาว รองลงมาคือข้าวเมล็ดกลาง ข้าวหัก 100 % ข้าวนึ่ง ข้าวที่หุงสำเร็จพร้อมรับประทาน แป้งข้าว และ ข้าวแดง
เมตริกตัน (โดยประมาณ) สัดส่วนร้อยละ ปริมาณการใช้ข้าวทั้งสิ้นภายในประเทศ 26.28 ล้าน 100.0 ข้าวขาวเมล็ดยาว 12.21 ล้าน 46.5 ข้าวขาวเมล็ดกลาง 4.69 ล้าน 17.8 ข้าวหัก 100% 3.63 ล้าน 13.8 ข้าวนึ่ง 2.96 ล้าน 11.3 ข้าวหุ่งสำเร็จพร้อมรับประทาน 0.79 ล้าน 3.0 แป้งข้าว 0.73 ล้าน 2.8 ข้าวแดง (brown rice) 0.62 ล้าน 2.4 ข้าวอื่นๆ 0.47 ล้าน 1.8 ข้าวขาวเมล็ดสั้น 0.17 ล้าน 0.74.2 ปริมาณ
ข้าวไม่ใช่อาหารหลักของผู้บริโภคสหรัฐฯ เป้าหมายหลักของการหันมาบริโภคข้าวเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มักจะมาจากแนวคิดเรื่องสุขภาพเป็นสำคัญ รองลงมาคือความแพร่หลายของอาหารเอเซียและของชนกลุ่มน้อยอื่นๆที่มีข้าวเป็นหลัก
ในปี 2005 ผู้บริโภคสหรัฐฯบริโภคอาหารที่มาจากธัญญพืช (grain- แป้งข้าวสาลี ข้าวผลิตภัณฑ์จากข้าวโพด ผลิตภัณฑ์ข้าวโอ๊ต ผลิตภัณฑ์จากข้าวบาเรย์) ประมาณ 192 ปอนด์ต่อคน ปริมาณาการบริโภคเฉพาะข้าวอย่างเดียวในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 26 ปอนด์ต่อคนต่อปีหรือ 12 แกรมต่อคนต่อวัน
อาหารที่เป็นข้าวที่ผู้บริโภคสหรัฐฯส่วนใหญ่ที่ไม่ได้บริโภคข้าวเป็นหลักจะเป็นข้าวร่วนเป็นเมล็ดๆ ไม่จับตัวเป็นก้อนหรือมียางเหมือนข้าวไทย อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคกลุ่มนี้หันมารับประทานอาหารเอเซียเพิ่มมากขึ้นและรู้จักรับประทานข้าวที่มียางเพิ่มมากขึ้น
แบ่งออกเป็นการขายตรงเป็นอาหารและการขายให้แก่โรงงานผลิต เข้าสู่ตลาดต่างๆ (Market segment) ดังนี้ (การสำรวจในปี 2005 ของ USA Rice Federation)
38.07% ข้าวขาวเมล็ดยาว
28.72% ข้าวหัก 100%
16.39% ข้าวขาวเมล็ดกลาง
5.72% แป้งข้าว
4.56% ข้าวนึ่ง (ข) ร้อยละ 15.89 เข้าสู่ตลาดผู้กระจายสินค้าที่เป็นคนอเมริกันเชื้อสายต่างๆ (Ethnic Distributors)
45.22% ข้าวขาวเมล็ดยาว
38.40% ข้าวขาวเมล็ดกลาง
8.78% ข้าวนึ่ง
4.05% ข้าวแดง (brown rice)
2.11% ข้าวขาวเมล็ดสั้น
1.06% ข้าวหัก 100% (ค) ร้อยละ 15.38 เข้าสู่ตลาดค้าปลีก ค้าส่ง (Retail grocery, market chains/Wholesale/Distributors, Supercenters)
59.94% ข้าวขาวเมล็ดยาว
13.26% ข้าวนึ่ง
10.46% ข้าวขาวเมล็ดกลาง
8.97% ข้าวหุ่งสำเร็จพร้อมรับประทาน
5.33% ข้าวแดง (brown rice) (ง) ร้อยละ 8.31 เข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรมหลักที่ให้บริการอาหาร (Mainline Foodservice)
46.58% ข้าวขาวเมล็ดยาว
37.10% ข้าวนึ่ง
7.37% ข้าวหุ่งสำเร็จพร้อมรับประทาน
4.88% ข้าวขาวเมล็ดกลาง
2.24% ข้าวแดง (brown rice) (จ) ร้อยละ 7.45 เข้าสู่ตลาดการนำไปทำบรรจุภัณฑ์ใหม่ (Repackers) (ฉ) ร้อยละ 4.6 เข้าสู่ตลาดค้าปลีกที่ขายให้กับผู้บริโภคเฉพาะที่เป็นสมาชิก (Warehouse Clubs)
53.21% ข้าวขาวเมล็ดยาว
29.98% ข้าวขาวเมล็ดสั้น
14.29% ข้าวนึ่ง
2.10% ข้าวแดง (brown rice)
0.37% ข้าวหุ่งสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (ช) ร้อยละ 0.47 เข้าสู่ตลาดที่เปน็ การจัดซื้อของรัฐบาลสหรัฐฯสำหรับโปรแกรมต่างๆ (USDA Feeding, U.S. government rice procurement program, etc.)
49.2% ข้าวนึ่ง
32.7% ข้าวขาวเมล็ดยาว
16.7% ข้าวขาวเมล็ดกลาง
1.4% ข้าวขาวเมล็ดสั้น (ซ) ร้อยละ 0.25 เข้าสู่ตลาดฐานทัพภายในประเทศ (U.S. Domestic Military)
44.17% ข้าวขาวเมล็ดกลาง
26.59% ข้าวขาวเมล็ดยาว
15.15% ข้าวนึ่ง
9.01% ข้าวหุงสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน
3.99% ข้าวแดง (brown rice) (ฌ) ร้อยละ 0.07 เข้าสู่ตลาดฐานทัพนอกประเทศ (Overseas Military)
83.55% ข้าวขาวเมล็ดกลาง
9.09% ข้าวขาวเมล็ดยาว
4.61% ข้าวแดง (brown rice)
1.89% ข้าวหุงสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน
ขนาดบรรจุจะเล็กตั้งแต่ 1 ปอนด์ จนถึงสูงสุด 10 ปอนด์ และมีการจำหน่ายแบบให้ผู้ซื้อชั่งตวงน้ำหนักตามต้องการ ราคาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้า ชนิดของข้าว และ
ชั่งตวงน้ำหนักเอง ข้าวเมล็ดยาวจากเท็กซัส 79 เซ็นต์/ปอนด์
ขนาดบรรจุ 1 ปอนด์ 1.15 เหรียญฯ ขนาดบรรจุ 2 ปอนด์ 3 — 4 เหรียญฯ ขนาดบรรจุ 5 ปอนด์ 3 — 6 เหรียญฯ ขนาดบรรจุ 10 ปอนด์ 7 — 10 เหรียญฯราคาขายปลีกข้าวหอมมะลิในนครลอสแอนเจลิส
ขนาดบรรจุ 25 ปอนด์ ราคาระหว่าง 13 — 20 เหรียญฯ
ขนาดบรรจุ 50 ปอนด์ ราคาระหว่าง 28 — 40 เหรียญฯ
6.1 การนำเข้า
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯรายงานว่า ปัจจุบันข้าวนำเข้าคิดเป็นร้อยละ 8 ของอุปทานข้าวรวมทั้งสิ้นของสหรัฐฯ และประมาณการณ์ว่าในระยะ 10 ปีข้างหน้า ข้าวนำเข้าในอุปทานข้าวของสหรัฐฯจะขยายตัวในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี และภายในปีการตลาด 2017/18 ข้าวนำเข้าจะมีส่วนแบ่งในอุปทานข้าวรวมทั้งสิ้นของสหรัฐฯในอัตราร้อยละ 9 — 10 และจะมีส่วนแบ่งในตลาดการบริโภคข้าวภายในประเทศสหรัฐฯในอัตราร้อยละ 20 มีประมาณการณ์ว่าส่วนใหญ่หรือประมาณกว่าร้อยละ 70 ของข้าวนำเข้าในปี 2007 เป็นข้าวหอมที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นข้าวหอมมะลิจากประเทศไทย (ในสถิตินำเข้าจะระบุเพียงว่าเป็นข้าวขาวเมล็ดยาว) กระทรวงเกษตรสหรัฐฯรายงานว่าในระยะ 25 ปีที่ผ่านมาการนำเข้าข้าวหอม(ข้าวเมล็ดยาว) จากประเทศผู้ส่งออกในเอเซียมีอัตราการขยายตัวสูงมาก ในปีการตลาด2009/10 คาดว่าการนำเข้าข้าวเมล็ดยาวจะมีอัตราขยายตัวร้อยละ 10 และมีประมาณการว่าสาเหตุสำคัญสูงสุดของการขยายตัวของการนำเข้าข้าวในระยะ 10 ปีข้างหน้ามาจากการขยายตัวของการนำเข้าข้าวหอม
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯพยากรณ์ว่าในปีการตลาด 2009/10 การนำเข้าข้าวเมล็ดกลางและข้าวเมล็ดสั้นจะมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 4 ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความต้องการข้าวที่เพิ่มมากขึ้นของปัวโตริโก้
6.2 การส่งออก
ปริมาณการส่งออก สถิติการส่งออกในปีการตลาด (สิงหาคม-กรกฏาคม) 2009/10 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2009 ปริมาณส่งออก 1,000 เมตริกตัน แยกตามตลาดส่งออก
การส่งออก ไม่มีกฎระเบียบพิเศษ
การนำเข้า ไม่มีกฎระเบียบพิเศษที่นอกเหนือไปจากการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ USFDA และ USDA เรื่องความสะอาดของสินค้า การทำบรรจุภัณฑ์ และการทำฉลากสินค้า ทั้งนี้ยกเว้นในกรณีที่มีการนำข้าวผ่านเข้าขบวนการผลิตที่รวมถึงการบรรจุขวด บรรจุกระป๋อง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาหารที่รวมถึงการจดทะเบียนโรงงานผลิต การแจ้งขบวนการผลิต การมีหมายเลขโรงงานผลิตสินค้าอาหารกระป๋องเป็นต้น
การปิดฉลากว่าเป็นข้าวอินทรีย์
การปิดฉลากสินค้าว่าเป็นข้าวอินทรีย์ และติดโลโก้ “organic” ข้าวดังกล่าวจะต้องมีการผลิตตามระบบการเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯและต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานให้การรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่กระทรวงเกษตรสหรัฐฯรับรองแล้ว
มาตรฐานข้าวของสหรัฐฯทำให้ข้าวหอมทุกชนิดสามารถปิดฉลากว่าเป็น “jasmine” ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กระทรวงเกษตรสหรัฐฯถือว่าคำว่า “jasmine” และ “basmati” เป็นคำสามัญทั่วไปที่สามารถใช้ได้กับข้าวหอมที่ปลูกในที่ใดๆก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจงว่าจะต้องมาจากแหล่งผลิตในประเทศใดโดยเฉพาะ [( United States Standards for Milled Rice -“Aromatic milled rice. Aromatic milled rice shall be special varieties of rice (Oryza sativa L. scented) that have a distinctive and characteristic aroma; e.g. basmati and jasmine rice) ]
ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีข้าวหอมที่เป็นมาจากแหล่งกำเนิดในประเทศอื่นๆรวมถึงแหล่งกำเนิดในสหรัฐฯระบุฉลากสินค้าโดยใช้คำว่า “jasmine” หรือ “basmati” ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการปิดฉลากที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด (Misleading Labeling) ว่าเป็นข้าวหอมมะลิไทย “Thai Jasmine Rice” หรือเป็นข้าว “basmati” จากอินเดีย ปัญหาเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้วและยังไม่สามารถมีผู้ใดแก้ไขได้ แม้ว่าจะได้มีการทำความพยายามครั้งใหญ่ในปี 2001 โดย Research Foundation for Science, Technology and Ecology, The Center for Food Safety และ the International Center for technology Assessment ร่วมมือกันยื่นคำร้องต่อ The Federal Trade Commission (FTC) ให้จัดทำกฎระเบียบห้ามการโฆษณาและการวางตลาดสินค้าโดยใช้คำว่า “basmati” หรือ“jasmine” โดยเน้นการห้ามไปที่ข้าวหอมที่มาจากการปลูกในสหรัฐฯ แต่การดำเนินการดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจาก FTC ลงมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับพิจารณาคำร้องโดยให้เหตุผลว่า กลยุทธการตลาดดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายใดๆกับผู้บริโภค และตราบใดที่ผู้ผลิตระบุแหล่งผลิตตามความเป็นจริงก็มีสิทธิที่จะเรียกข้าวหอมของตนว่าเป็นข้าวหอม jasmine rice หรือ basmati rice ได้
ไม่มี
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นครลอสแอนเจลิส
ที่มา: http://www.depthai.go.th