จากภาวะวิกฤตผลกระทบวิกฤตหนี้ของกรีซที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินยูโรและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของสหภาพยุโรปนั้น ถึงแม้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะไม่อยู่ในกลุ่มสหภาพยุโรปแต่ก็เริ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวเนื่องจากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของสวิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี โดยประมาณร้อยละ 60 ของสินค้าที่ส่งออกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
เมื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจของสวิสในปี 2553 พบว่าเศรษฐกิจสวิสมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2552 ซึ่งมีผลมาจากนโยบายการเงินและการคลังของสวิสในการเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ รวมทั้งระบบเศรษฐกิจโดยรวมของโลกที่ค่อยๆ ฟี้นตัวจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ในไตรมาสแรกของปี 2553 สวิสมีมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 มีอัตราการว่างงานลดลง จากข้อมูลในเดือนพ.ค. 2553 สวิสมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยต่อปีเท่ากับร้อยละ 3.9 (เดือนมีนาคม 2553: ร้อยละ 4) และคาดว่าจะมีอัตราการว่างงานลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ในปี 2554 ซึ่งอัตราการว่างงานที่ลดลงนี้ได้ช่วยให้การใช้จ่ายภายในประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่า GDP ของสวิสในไตรมาสแรกของปี 2553 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นแต่มีอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 0.4 ซึ่งน้อยกว่าในสองไตรมาสที่ผ่านมา (ขยายตัวร้อยละ 0.6 และ 0.9 ในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2552) จากข้อมูลจาก State Secretariat for Economic Affairs (SECO) พบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของ GDP ที่ลดลงนี้ มีผลมาจากการลดลงของการลงทุนภายในประเทศในภาคธุรกิจ Software และอุปกรณ์และส่วนประกอบ การลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การลดการใช้จ่ายของภาครรัฐ รวมทั้งการภาวะเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป
นอกจากนี้จากจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจของกรีซที่ส่งผลให้เงินยูโรมีมูลค่าลดลง ทำให้ เงินสวิส ฟรังก์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโร โดยในเดือนพฤษภาคม 2553 เงินยูโรมีค่าลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2552 ประมาณร้อยละ 7 ซึ่งรัฐบาลสวิสได้พยายามไม่ให้ค่าเงินสวิสฟรังก์เมื่อเทียบกับเงินยูโรแข็งตัวขึ้นมากเกินไป โดยที่ผ่านมาธนาคารแห่งชาติสวิส (Swiss National Bank) ได้เข้าแทรกแซงโดยการซื้อเงินยูโรมูลค่าหลายพันล้านยูโร เนื่องจากการแข็งตัวขึ้นของเงินสวิสฟรังก์เมื่อเทียบกับเงินยูโรส่งผลให้มูลค่าของสินค้าส่งออกของสวิสแพงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป จากข้อมูลของ State Secretariat for Economic Affairs (SECO) อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินยูโรและสวิสฟรังก์น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักและน่าจะมีค่าประมาณ 1 ยูโร ต่อ 1.40 สวิสฟรังก์ ในช่วงเดือนพ.ค. 2554
อย่างไรก็ดี นักวิชาการสวิสบางกลุ่มไม่ให้ความสำคัญกับการแข็งตัวของสวิสฟรังก์เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรมากนักเนื่องจากเห็นว่าสินค้าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าเฉพาะหรือ niche products ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณสมบัติเฉพาะมากๆ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสั่งสินค้าอย่างทันที โดยนักวิชาการจาก KOF Swiss Economic Institute เห็นว่าปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าคือเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป โดยถึงแม้ว่าในปัจจุบันคณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรปได้มีมาตรการที่แน่ชัดในการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของกรีซแล้ว แต่นอกจากประเทศกรีซแล้วยังมีประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นๆ อีกที่มีปัญหาหนี้สาธารณะและการขาดดุลการคลังในอัตราสูง ได้แก่ประเทศอิตาลี่ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ และสเปน ซึ่งหากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้อีกอาจส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต่อกันไปตามทฤษดฎีโดมิโน และอาจส่งผลให้เศรษกิจโดยรวมของสหภาพยุโรบซึงเป็นคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของสวิสอยู่ในสภาพถดถอยได้
ในปี 2552 สินค้าที่สวิสส่งออก 10 อันดับแรก มีมูลค่า 139.63 พันล้านเหรียญหรือคิดเป็นร้อยละ 79.28 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม (ร้อยละ 18.8) 2. เครื่องจักรเครื่องใช้กล (ร้อยละ12) 3. เคมีภัณฑ์อินทรีย์ (ร้อยละ 9.3) 4. เลนส์ (ร้อยละ7.5) 5. นาฬิกาและส่วนประกอบของนาฬิกา (ร้อยละ7.1) 6. เครื่องจักรไฟฟ้าอุกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ (ร้อยละ 6.8) 7. อัญมณีและเครื่องประดับ (ร้อยละ5.9) 8. เชื้อเพลิงน้ำมัน (ร้อยละ 2.8) 9. พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก (ร้อยละ2.6) และ 10. สินค้าทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า (ร้อยละ 1.4)
ประเทศที่สวิสส่งสินค้าออกไปมากที่สุดในปี 2552 ได้แก่ประเทศเยอรมนี (ร้อยละ 19.2) รองลงมาได้แก่ สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ10) อิตาลี่ (ร้อยละ8.4) ฝรั่งเศส (ร้อยละ 8.4) สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 5) ญี่ปุ่น (ร้อยละ3.8) สเปน (ร้อยละ 3.5) จีน (ร้อยละ 2.9) ออสเตรีย (ร้อยละ 2.9) และฮ่องกง (ร้อยละ 2.9) ในปี 2552 สวิสส่งสินค้าออกไปยังสหภาพยุโรป 27 ประเทศ มีมูลค่า 103.3 พันล้านเหรียญ คิดเป็นร้อยละ 60 ของสินค้าที่สวิสส่งออกทั้งหมด
ในปี 2552 สวิสเป็นตลาดส่งออกอันดับ 12 ของไทย การส่งออกไปสวิสมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมาก เป็นผลมาจากการส่งออกทองคำเป็นหลัก (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 79% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด) เนื่องจากราคาทองในตลาดโลกเพิ่มมูลค่าขึ้นอย่างมาก
สำหรับเดือนเมษายน 2553 สวิสขยับขึ้นมาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 19 ของไทยจากอันดับที่ 25 ในเดือนก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 813.4 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วนลดลงกว่าร้อยละ 51.52 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามนับว่ามูลค่าการส่งออกโดยรวมในเดือนนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มมากขึ้นกว่ามูลค่าโดยรวมของสามเดือนที่ผ่านมามากถึง 436 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากยอดส่งออกทองคำที่พุ่งสูงขึ้นและส่งผลโดยตรงต่อตัวเลขในภาพรวมอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าก็ตาม นอกจากนั้นสินค้าที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง คือ สินค้าอาหารและข้าว
สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย 10 อันดับแรก ได้แก่ 1. อัญมณีและเครื่องประดับ 2. นาฬิกาและส่วนประกอบ 3. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 4. อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด 5. เครื่องสำอางสบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว 6. อาหารทะเลกระป๋องแปรรูป 7. เครื่องใช้สำหรับเดินทาง 8. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 9. เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ และ 10. ข้าว
จากข้อมูลเดือนเมษายน 2553 สวิสนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ จากประเทศไทยลดลง โดยนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับจากประเทศไทยลดลงร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 เนื่องจาก สวิสหันมานำเข้าทองคำ(7108) จากแหล่งอื่น ที่สำคัญได้แก่ เยอรมนี คาซัคสถานและสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนในตลาดสวิสรวมกันกว่า 93% ส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกทองคำได้น้อยลงกว่า 80% ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตุว่าไทยได้หันมาส่งออกเพชรมากยิ่งขึ้น ทั้งเจียระไนแล้วและยังไม่เจียระไน โดยมีส่วนแบ่งมูลค่าส่งออกโดยเฉลี่ย 5% คิดเป็นมูลค่าการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับในเดือนเมษายน 53 เป็นที่น่าจับตามองว่าสินค้าประเภทนี้มียอดส่งออกพุ่งสูงมากขึ้นถึง 398.7 ล้านเหรียญภายในเดือนเดียวซึ่งมากกว่ายอดการส่งออกในเดือนม.ค.-มี.ค. 53 รวมกันเป็นอย่างมาก สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลจากการสั่งซื้อภายหลังงาน Baselworld
ทางด้านสินค้านาฬิกาและส่วนประกอบ ในช่วงต้นปี 53 ตลาดมีความต้องการน้อยลง สวิสจึงนำเข้าสินค้าประเภทนี้ในภาพรวมลดน้อยลง อย่างไรก็ตามในเดือนเมษายน สวิสเริ่มนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้นเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทำให้สินค้าไทยซึ่งส่วนมากเป็นส่วนประกอบนาฬิกา (9114) เริ่มฟื้นตัวแม้จะยังมียอดส่งออกในภาพรวมน้อยกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าก็ตาม นอกจากนั้น ไทยยังครองตำแหน่งคู่ค้าอันดับแรกของสวิสสำหรับสินค้าประเภทนี้อยู่ สินค้าสำคัญรองลงมาได้แก่ ตัวเรือน (9111) ตัวเครื่อง (9108) และสายนาฬิกา( 9113)
ทั้งนี้เนื่องจากสวิตเป็นประเทศ Trading Country ที่นำเข้าและส่งออกต่อไปประเทศอื่น ไม่ใช่นำเข้าเพื่อการบริโภคมากนัก ทำให้ปริมาณมูลค่าและประเภทสินค้าที่นำเข้ามีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพตลาดโลกและปัจจัยอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาประเภทสินค้าอันดับต้นๆ ที่สวิสนำเข้าจากไทยหลายประเภทเป็นประเภทเดียวกับสินค้าส่งออกที่สำคัญของสวิส (อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ) หากวิกฤตหนี้กรีซขยายตัวต่อเนื่องจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสวิสจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไปสวิสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำนักงานสงเสริมการค้าระหวางประเทศ ณ นครแฟรงกเฟิร์ต
ที่มา: http://www.depthai.go.th