ตารางแสดงมูลค่าการค้าไทย-สเปน ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553
พ.ค.2553 ม.ค.-พ.ค.2553 มูลค่า (Mil.US$) เพิ่ม/ลด (%) มูลค่า (Mil.US$) เพิ่ม/ลด (%) จากเดือนก่อน ช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งออก 79.19 -4.87 416.79 +51.18 นำเข้า 36.93 -14.07 195.17 +32.64 การค้ารวม 116.12 -8.00 611.96 +44.73 ดุลการค้า +42.26 +4.97 +221.62 +72.40 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
ในเดือนพฤษภาคม 2553 ไทยกับสเปนมีมูลค่าการค้ารวม 116.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยเป็นฝ่ายส่งออกไปสเปน 79.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงร้อยละ -4.87 เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา โดยมีหมวดสินค้าหลักที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ เครื่งปรับอากาศและส่วนประกอบ (-37.18%) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-71.72%) และผลิตภัณฑ์ยาง (-40.28%) ขณะที่นำเข้าจากสเปนรวม 36.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯลดลงร้อยละ -14.07 ทั้งนี้ ไทยได้ดุลการค้าเพิ่มขึ้นอีก 42.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในช่วง 5 เดือนแรก ปี 2553 ไทย-สเปน มียอดการค้ารวม 611.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.73 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยไทยมียอดส่งออกมาสเปนรวม 416.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.18 ซึ่งสามารถแบ่งโครงสร้างสินค้าส่งออก ได้ดังนี้
ตารางแสดงโครงสร้างสินค้าส่งออกไทยมายังสเปน ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553
ที่ ประเภทสินค้า มูลค่า (Mil.USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) 1 เกษตรกรรม(กสิกรรม+ปศุสัตว์+ประมง) 80.6 19.33 +93.66 2 อุตสาหกรรมการเกษตร 24.1 5.79 -10.30 3 อุตสาหกรรม 312.1 74.88 +50.77 รวม 416.8 100.0 +51.18 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
เมื่อเทียบกับช่วง 5 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา พบว่าประเภทสินค้าเกษตรกรรม มีอัตราการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 93.66 และสามารถเพิ่มสัดส่วนขึ้นมาเป็นร้อยละ 19.33 อันเนื่องมาจากความต้องการบริโภคสินค้ากุ้งแช่สด/แช่แข็ง และยางพาราเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ประเภทสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรกลับหดตัวลงร้อยละ -10.3 และเหลือสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.79 ส่วนสินค้าอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนสูงถึง 3 ใน 4 ของสินค้าส่งออกไทยโดยรวม ก็สามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 50.77
หมวดสินค้าหลักดั้งเดิมที่สามารถกลับมาขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (+110.98%) ยางพารา (+321.19%) และรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ (+566.54%) ขณะที่นำเข้าจากสเปน 195.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.64 ทำให้ไทยได้ดุลการค้าจากสเปนสะสม จำนวน 221.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้ร้อยละ 72.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ที่ สินค้า มูลค่า(Mil.USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) 1 เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 79.2 19.01 +110.98 2 ยางพารา 49.6 11.90 +321.19 3 เสื้อผ้าสำเร็จรูป 48.9 11.74 +18.29 4 รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ 29.3 7.02 +566.54 5 กุ้งสดแช่เย็น/แช่แข็ง 20.0 4.81 +343.17 6 ผลิตภัณฑ์ยาง 17.0 4.09 +48.13 7 ผลไม้กระป๋องและแปรรูป 14.4 3.46 +53.51 8 เลนส์ 14.2 3.40 +29.90 9 เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ 13.1 3.15 +72.41 10 เคมีภัณฑ์ 11.9 2.85 -19.43 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกที่ผ่อนคลายลง ส่งผลให้สินค้าแทบทุกหมวดของไทยมีอัตราขยายตัวในอัตราเร่ง โดยเฉพาะสินค้าหลักดั้งเดิมของไทยในตลาดนี้ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ยางพารา และรถยนต์/อุปกรณ์และส่วนประกอบ ต่างมีอัตราเติบโตในระดับสูง นอกจากนั้นยังได้แรงเสริมจากสินค้าหมวดแฟชั่น ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และอัญมณีและเครื่องประดับ ที่ยังเติบโตได้ดีจึงถือได้ว่าผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจและกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้ชัดจากสินค้าประเภทคงทนอาทิเช่น รถยนต์ และเครื่องใช้ฟ้า เป็นต้น เริ่มทำยอดขายได้ดีขึ้นหลังจากที่ผู้บริโภคต้องตัดสินใจระงับหรือเลื่อนเวลาการซื้อออกไปในช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ที่ได้รับอานิสงค์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาลโดยการให้เงินสนับสนุนผู้บริโภคเพื่อโอบอุ้มอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ กอปรกับมาตรการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2553 ทำให้ผู้บริโภคต้องเร่งซื้อก่อนถึงกำหนดขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 คาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสเปนในภาพรวมยังคงอยู่ในแดนลบ นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค โดยเฉพาะวิกฤติหนี้ของกรีซที่ส่งผลให้รัฐบาลสเปนต้องออกมาตรการลดยอดขาดดุลการคลังของรัฐบาลที่จำเป็นต้องตัดค่าใช้จ่ายของภาครัฐในทุกๆ ด้านจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันต้องเร่งหารายได้เพิ่มจากการขึ้นภาษี ซึ่งล้วนจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้น ยังคงมีสภาพเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจและการเงินของโลกที่ยังมีความผันผวนและอ่อนไหว
ในช่วงเดียวกันไทยนำเข้าสินค้าจากสเปน เป็นมูลค่า 195.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 32.64 ซึ่งสินค้าส่วนมากเป็นสินค้าที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้แก่ เคมีภัณฑ์ เหล็ก โลหะ และสัตว์น้ำสด เป็นต้น รองลงมาเป็นสินค้าประเภททุน ได้แก่ เครื่องจักรต่างๆ และส่วนประกอบ โดยมีรายละเอียดการนำเข้าสินค้า 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด ดังนี้
สินค้า มูลค่า (Mil.USD) สัดส่วน (%) เปลี่ยนแปลง (%) เคมีภัณฑ์ 36.2 18.55 +78.57 เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ 24.6 12.63 +37.39 ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม 19.2 9.84 +11.35 เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ 10.9 5.58 +101.98 สัตว์น้ำสดแช่เย็น/แช่แข็ง/แปรรูป/กึ่งสำเร็จรูป 9.9 5.09 -36.01 ที่มา: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร
สภาวะเศรษฐกิจของสเปน ถือว่ายังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ซึ่งดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆก็เริ่มปรับตัวเป็นบวก รวมทั้งอัตราการว่างงานที่ถึงแม้จะอยู่ในระดับสูงที่สุดของสหภาพยุโรป ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาวิกฤติหนี้ของกรีซที่ลุกลามไปทั่วทั้งยุโรป จนรัฐบาลของประเทศสมาชิกต่างๆ ต้องเร่งออกมาตรการรัดเข็มขัดเป็นการด่วนเพื่อปรับลดหนี้สาธารณะ และอัตราขาดดุลการคลังให้กลับไปสู่ระดับไม่เกินร้อยละ 3 ของ GDP ให้ได้ภายในปี 2556 ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนทั้งสิ้น อันจะส่งผลกระทบไปยังประเทศที่เป็นแหล่งส่งออกสินค้าทั่วโลก นอกจากนั้น ค่าเงินยูโรที่ถดถอยลง ยังจะทำให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้นด้วย
ถึงแม้สัดส่วนมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสเปน เพียงร้อยละ 0.56 ของการส่งออกของไทย แต่สามารถสร้างดุลการค้าให้ไทยได้จำนวนมากในแต่ละปี ซึ่งสินค้าหลักได้แก่ เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ยานพาหนะและชิ้นส่วน และยางพารา ที่กำลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นมากจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน กุ้งสดแช่แข็ง สินค้าแฟชั่น และเครื่องประดับ ก็ล้วนแต่ปรับตัวได้ดีขึ้นทั้งสิ้นแต่ทั้งนี้ จากมาตรการรัดเข็มขัดเพิ่มเติมของรัฐบาล ย่อมส่งผลกระทบไปยังความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคทั่วไปไม่มากก็น้อยในการจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษว่าผลกระทบจากมาตรการเหล่านั้นของรัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด สินค้าของไทยที่มีอ่อนไหว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่สินค้าหมวดอาหารคาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่มีผลกระทบเลยหากไม่เกิดเหตุการณ์วิกฤติทางเศรษฐกิจของโลกอื่นๆ อย่างเฉียบพลันเข้ามาแทรกแซงแล้วในปี 2553 สินค้าไทยคาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 และจะได้ดุลการค้าไม่ต่ำกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่มา: http://www.depthai.go.th