การชี้แจงรายละเอียดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

ข่าวทั่วไป Wednesday July 23, 2014 14:24 —สำนักโฆษก

การชี้แจงรายละเอียดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล วันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2557 เวลา 10.00 น.

การชี้แจงรายละเอียดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 โดย พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

สวัสดีครับพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่เคารพรักทุกท่าน ตามที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการนั้น ก็คงเป็นไปตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้เรียนชี้แจงประชาชนไว้แล้วครับว่าภายในเดือนกรกฎาคมนี้จะมีรัฐธรรมนูญ และเป็นไปตามแนวทางการดำเนินงานหรือโรดแม็ปในขั้นที่สองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในวันนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กรุณามอบหมายให้ผม พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม ได้มาชี้แจงเพิ่มเติมในเรื่องของความเป็นมา และเนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับนี้ครับ ขอเรียนเชิญอาจารย์ทั้งสองครับ

ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติ ท่านสื่อมวลชน ท่านผู้รับชมและรับฟังการถ่ายทอดสดทั้งที่อยู่ทางบ้านและที่นี่ทุกท่าน ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มาพูดถึงสิ่งที่ประชาชนคนไทยกำลังให้ความสนใจอยู่ขณะนี้ หลายท่านอาจรู้สึกเหมือนผม ที่ได้เห็นภาพจากข่าวในพระราชสำนักเมื่อคืนนี้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชวโรกาสให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อรับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่ได้ทรงลงพระปรมาภิไธย รัฐธรรมนูญนี้ถึงแม้จะเป็นฉบับชั่วคราว แต่ความรู้สึกแรกก็คือ บ้านเมืองของเรากำลังมีกฎกติกาที่แน่นอน เป็นหลักของกฎหมายที่เรียกว่ากฎหมายสูงสุดของประเทศ ซึ่งจะเรียกได้ว่าบ้านเมืองของเราเป็นนิติรัฐ คือรัฐที่ยึดถือกฎหมายเป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันของประชาชน กับองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย ความรู้สึกประการต่อมาก็คือ ความชัดเจนของแนวทางการพัฒนาการเมืองของประเทศไทย ว่าจะดำเนินการในรูปแบบใด เพื่อนำไปสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่เรียกกันว่าโรดแม็ป หรือถ้าจะพูดอีกในรูปแบบหนึ่งก็คือการปฏิบัติตามพันธะสัญญาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่จะดำเนินการอย่างไรด้วยวิธีการและรูปแบบอย่างไร และกำหนดระยะเวลาอย่างไร ดังจะเห็นได้ชัดเจนถึงกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับนี้อย่างละเอียด ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนี้ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะไปสู่จุดหมายของประชาธิปไตย ภายในกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพครับ แต่ความรู้สึกเหนือสิ่งอื่นใดที่ผมสัมผัสได้เมื่อเห็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติก็คือความรู้สึกที่ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ใต้การปกครองของรัฐธรรมนูญฉบับใด จะเป็นฉบับถาวรหรือฉบับชั่วคราว แต่พระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครองสูงสุด แม้รัฐธรรมนูญจะเขียนว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งตามหลักรัฐศาสตร์แบบฝรั่งเรียกว่า Constitutional Monarchy แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นเป็นยิ่งกว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ไม่ทราบว่าท่านผู้มีเกียรติจะรู้สึกเหมือนผมหรือไม่ว่า เมื่อเห็นภาพที่ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้น ผมในฐานะคนไทยรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงว่าเราอยู่ภายใต้การปกครองที่มีพ่อของแผ่นดินดูแลอยู่ ถ้าท่านอ่านตารางเปรียบเทียบของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะเห็นได้ว่าในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวครั้งนี้ มีบทบัญญัติที่ชัดเจนถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในเรื่องต่าง ๆ ที่พวกเราคนไทยอยากให้ทรงมีพระราชอำนาจนั้น เช่น พระราชอำนาจในการอภัยโทษ พระราชอำนาจในการแต่งตั้งบุคคลต่าง ๆ เป็นต้น นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ค่อนข้างจะยาวมากกว่าฉบับชั่วคราวอื่น ๆ เพราะได้เขียนไว้มากในเรื่องพระราชอำนาจ ยืนยันถึงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผมมีเวลาไม่มากนักจึงได้จัดเตรียมเอกสารสรุปสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตารางโครงสร้างขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ตารางแสดงขั้นตอนของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และยังได้จัดทำตารางเปรียบเทียบบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อปี 2549 กับฉบับปี 2534 เพื่อที่ท่านจะเข้าใจรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ง่ายขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะลงไปในรายละเอียดของเนื้อหา ซึ่งรายละเอียดของเนื้อหานี้ส่วนใหญ่ผมจะขอให้ท่านอาจารย์วิษณุฯ ได้พูดในเรื่องดังกล่าวให้มาก ผมจะพูดแต่เฉพาะหลักการที่สำคัญ และในบางเรื่องที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องใหม่และเป็นจุดเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้น

เรื่องแรกที่ผมอยากจะกราบเรียนให้ทราบคือ ความเป็นมาและแนวคิดสำคัญของการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดขึ้นจากการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยผม ในฐานะที่ปรึกษาของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก และกฎหมายจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะทำงานด้านกฎหมายส่วนงานรักษาความสงบ สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ร่วมกันรับผิดชอบในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเพื่อใช้บังคับขึ้น โดยจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ยึดหลักนิติรัฐ หลักการในการยกร่างคือคณะทำงานได้เข้าปรึกษาและขอความเห็นชอบในประเด็นสำคัญของรัฐธรรมนูญจากท่านหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นอกจากนั้นก็ได้เข้าปรึกษาจากคณะที่ปรึกษาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งมีอาจารย์วิษณุฯ เป็นที่ปรึกษาด้วยคนหนึ่ง เมื่อยกร่างเสร็จแล้วในชั้นแรก ก็ได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตรวจร่าง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษ พิจารณาร่วมกันกับคณะทำงานของเรา คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาตรวจแก้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้วเสร็จ พร้อมกันนั้นเนื่องจากมีการจัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติด้วย คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงได้ร่วมกันยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งเป็นกฎหมายลูกที่จะต้องออกตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ด้วย เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจแก้เสร็จแล้วส่งเรื่องมา ก็นำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และได้มีการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเล็กน้อย จากนั้นได้พิจาณาให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว และให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาตินำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ส่วนร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาตินั้น จะได้นำทูลเกล้าฯ เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว นั่นคือขั้นตอนที่ผมได้กราบเรียนมา เพื่อที่ท่านจะได้ทราบว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ร่วมกันทำเพื่อทีมงานที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิได้รับคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ได้รับความเห็นชอบในหลักการที่สำคัญของรัฐธรรมนูญ และทีมงานจะได้ยกร่างตามเจตนารมณ์และยึดหลักของกฎหมาย และประเด็นต่อไปกระผมจะใช้เวลาสักเล็กน้อย ลงรายละเอียดในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ส่วนรายละเอียดส่วนใหญ่นั้นเดี๋ยวอาจารย์วิษณุฯ จะพูดนะครับ

ผมอยากให้ท่านดูที่โครงสร้าง ตารางโครงสร้างของรัฐธรรมนูญที่ได้ทำไว้ ซึ่งจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ จัดโครงสร้างขององค์กรต่าง ๆ ไว้ชัดเจน องค์กรแรกคือพระมหากษัตริย์ ดังนี้จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะให้คงบทบัญญัติของหมวด 2 ของพระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ไว้ให้ยังบังคับใช้อยู่ แต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้เขียนให้ชัดเจนถึงพระราชอำนาจในเรื่องต่าง ๆ เช่น พระราชอำนาจในการใช้อำนาจอธิปไตยแห่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี พระราชอำนาจในการแต่งตั้งต่าง ๆ พระราชอำนาจที่สำคัญคือพระราชอำนาจในการยับยั้งร่างกฎหมายและร่างรัฐธรรมนูญ เขียนไว้ชัดเจน พระราชอำนาจในการทำสัญญากับนานาประเทศ นอกจากนั้น ท่านยังทรงมีพระราชอำนาจอื่นตามที่กำหนดไว้ในประเพณีการปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนองคมนตรีนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของหมวดพระมหากษัตริย์ซึ่งคงไว้เช่นเดิม

องค์กรต่อไปคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่นิติบัญญัติ คือหมายความว่าการจะออกกฎหมายต่าง ๆ เป็นหน้าที่ขององค์กรนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีจำนวนไม่เกิน 220 คน รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้เป็นหน้าที่ เป็นอำนาจของหัวหน้า คสช. ที่จะคัดเลือกจากบุคคลภาคต่าง ๆ แล้วนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงแต่งตั้ง ข้อสังเกตประการหนึ่งเกี่ยวกับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็คือ ครั้งนี้รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดคุณสมบัติไว้หลายประการ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม แตกต่างจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับก่อน ๆ สำหรับคณะรัฐมนตรีก็คงรูปแบบเดิมที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับคือ คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่เกิน 35 คน คุณสมบัติลักษณะต้องห้ามของคณะรัฐมนตรีก็เช่นเดียวกัน ชัดเจนว่าจะต้องประกอบด้วยผู้ที่ไม่มีลักษณะต้องห้าม ต้องมีคุณสมบัติที่ถูกต้อง และก่อนจะทำงานต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์ องค์กรต่อไปที่ท่านคงสนใจและเดี๋ยวอาจจะซักถามอาจารย์วิษณุฯ ต่อไปก็คือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้นรัฐธรรมนูญชั่วคราวบัญญัติให้ยังคงไว้อยู่ต่อ เพื่อดูแลตามวัตถุประสงค์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติคือในเรื่องของความมั่นคง ดูแลให้ประเทศชาตินั้นเดินไปได้ ดูแลในเรื่องการปฏิรูป ปรองดอง เพื่อที่กระบวนการต่าง ๆ ไม่ว่าในด้านนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการจะดำเนินการไปได้ คณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้นจำนวนสมาชิกอาจจะเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่เกิน 15 คน ที่สำคัญคือมีการทำงานร่วมกันกับคณะรัฐมนตรีในลักษณะของการปรึกษา การที่จะแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบในเรื่องความเห็นที่จะต้องดำเนินการ แต่ว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่ได้เข้าไปทำงานในส่วนที่เป็นของคณะรัฐมนตรี อยู่ข้างนอก อำนาจหนึ่งที่ท่านอาจจะสนใจมากคืออำนาจตามมาตรา 44 ของ คสช. นั่นคืออำนาจที่จะบอกว่าเป็นอำนาจเด็ดขาด บางคนก็พูดว่าเป็นอำนาจตามแบบมาตรา 17 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่กระผมเรียนว่ามาตรา 44 ไม่ได้แรงอย่างนั้น มาตรา 44 มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสร้างความสงบสร้างความเป็นปึกแผ่น สร้างบรรยากาศที่ดีไปสู่การปฏิรูป ถ้าหากเกิดมีสิ่งใดที่รัฐบาลตามปกติไม่อาจทำได้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติก็อาจจะทำได้ ให้อำนาจไว้อย่างนั้นเพื่อให้การปฏิรูปประเทศดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว

องค์กรพิเศษซึ่งอยากจะพูดมากแต่ว่าคงไม่มีเวลา เดี๋ยวเอาไว้เวลาซักถามนะครับ คือสภาปฏิรูปแห่งชาติ อันนี้เป็นหลักการสำคัญเลยของท่านหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อได้มอบหมายภารกิจให้ผม ว่าจะทำอย่างไรที่จะสนองตอบความต้องการการปฏิรูปในมิติต่าง ๆ ในเรื่องต่าง ๆ ในด้านต่าง ๆ เป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะว่าการที่จะระดมความคิดจากภาคส่วนต่าง ๆ แล้วให้เกิดผลนั้นคงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ด้วยเวลาที่จำกัด เราคงไม่สามารถที่จะไปใช้วิธีการที่เรียกว่า ให้ภาคส่วนต่าง ๆ คัดเลือกกันมาหรืออะไรทำนองนั้น จึงต้องใช้วิธีการสรรหา ซึ่งรายละเอียดเดี๋ยวคงจะได้เรียนให้ทราบต่อไป เวลามันมีจำกัด แต่ว่ารายละเอียดในส่วนนี้ก็ได้แจกให้ทุกท่านทราบแล้วนะครับ

ประการที่สำคัญของสภาปฏิรูปแห่งชาติก็คือการจะทำงานเชื่อมกับคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะประกอบด้วยสมาชิก 36 คน ซึ่ง คสช. แต่งตั้งส่วนหนึ่ง คสช. แต่งตั้งประธานคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ แต่คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญจะมาจากสภาปฏิรูปถึง 20 คน เป็นเสียงที่ข้างมาก ทั้งนี้เพื่ออะไร เพื่อให้สิ่งที่สภาปฏิรูปคิด สิ่งที่สภาปฏิรูปได้มานั้น มีผลนำไปสู่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และนอกจากนั้นสิ่งที่สภาปฏิรูปคิด และต้องการจะทำ หากต้องการใช้กฎหมายก็สามารถที่จะนำไปสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาตินะครับ นี่คือหลักการที่เรายกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อให้มันสอดคล้องและสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าสภาปฏิรูปทำแล้วไม่มีผลใด ๆ องค์กรที่เกี่ยวกับอำนาจตุลาการและศาลคือผู้พิพากษา ยังคงไว้นะครับ รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญของพุทธศักราช 2550 ก็ยังคงไว้ทุกประการ ความจริงแล้วผมคงมีเรื่องที่จะพูดมากกว่านี้ แต่ว่าด้วยเวลาจำกัดของการถ่ายทอดสด ผมอยากจะขอมอบรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญให้ท่านอาจารย์วิษณุฯ พูดต่อนะครับ ในโอกาสนี้ขอเรียนเชิญอาจารย์วิษณุฯ ครับ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่านครับ ก็เป็นอันว่าบัดนี้ได้เข้าสู่ช่วงเวลาช่วงที่สองตามแผนและขั้นตอน หรือที่เรียกกันว่าโรดแม็ป ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศไว้หลายวันก่อนหน้านี้แล้ว ขั้นที่สองของแผนและขั้นตอนหรือโรดแม็ปดังกล่าว เริ่มต้นขึ้นด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เมื่อวานนี้ ซึ่งก็เผอิญตรงกับการครบ 2 เดือนพอดีนับตั้งแต่ได้มีการเข้าครองอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่ 19 แห่งราชอาณาจักรไทย ถ้าหากว่านับทั้งฉบับถาวรและฉบับชั่วคราว โดยไม่นับฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เป็นอันว่าเป็นฉบับที่ 19 แต่คำว่าฉบับชั่วคราวก็มีความหมายอยู่ในตัวว่าให้ใช้บังคับไปพลางก่อน ซึ่งคาดว่าจะมีระยะเวลาประมาณ 1 ปี บวกลบ เพื่ออยู่ระหว่างการรอการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ที่จะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นานนับจากนี้ไป และเมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งจะเป็นฉบับที่ 20 ข้างหน้าโน้นเสร็จสิ้น กฎหมายลูกหรือกฎหมายประกอบที่จำเป็นดำเนินการเสร็จสิ้นก็จะเข้าสู่ระยะที่สามของแผนและขั้นตอน นั่นคือการจัดการเลือกตั้ง เพื่อที่จะคืนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลับสู่ประเทศชาติ โดยมีความเชื่อว่า ในช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ปีนับจากนี้ไป จะสามารถจัดการปัญหาที่ค้างคาอยู่ และเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้ง ความไม่สงบ ความไม่เรียบร้อยในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เป็นผลสำเร็จ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง ความจำเป็นในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีนับจากนี้ไปคือทำอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดเสียงบ่น หรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า สิ่งที่อุตส่าห์ลงแรงและได้ทำกันไปในช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมานั้น เป็นสิ่งที่เสียของหรือสูญเปล่า

เพราะเหตุดังนี้เองในรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 ซึ่งเป็นฉบับชั่วคราวนี้ จึงจำเป็นต้องวางหลักการบางอย่างที่อาจจะดูเข้มงวดกวดขัน หรืออาจจะดูพะรุงพะรัง อาจจะดูว่ายุ่งยาก แต่ก็จำเป็น บางเรื่องท่านอาจารย์พรเพชรได้ชี้แจงไปแล้ว ถ้าหากว่าจะลงสู่รายละเอียดให้มากขึ้น จะขอกราบเรียนได้ดังนี้ครับว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเหมือนกับต้นธาร หรือต้นของสายแม่น้ำอีก 5 สาย ที่จะหลั่งไหลพรั่งพรูนับตั้งนี้เป็นต้นไป แม่น้ำ หรือแคว หรือธารสายที่ 1 ที่จะแยกจากรัฐธรรมนูญนี้ไปในอีกเวลาไม่นานนัก และเป็นสิ่งแรกที่จะบังเกิดขึ้นคือการเกิดสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือที่เรียกกันเป็นสามัญทั่วไปในภาษาพูดว่า สนช. สภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น จะเป็นเหมือนกับสภาที่ทำหน้าที่นิติบัญญัติในอดีต มีสมาชิกไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งขึ้นตามคำแนะนำของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นั่นแปลว่าหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะเป็นผู้พิจารณาเลือกสรรและนำความกราบบังคมทูล สมาชิกทั้ง 220 คนนี้ ไม่มีการสมัคร จึงเป็นเรื่องที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะพิจารณา โดยอาศัยฐานข้อมูลหลายอย่าง ซึ่งเวลานี้ได้มีการจัดทำเรียบร้อยแล้ว ที่ว่าเรียบร้อยแล้วคือทำฐานข้อมูล เช่น ให้ครอบคลุมสาขาอาชีพ ให้ครอบคลุมจังหวัด พื้นที่ ภูมิภาค ให้ครอบคลุมเพศ วัย คุณสมบัติสำคัญของคนที่จะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ในเบื้องต้นคือจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 40 ปี จะต้องเป็นผู้ที่มีสัญชาติไทย จะต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคการเมือง หมายถึงดำรงตำแหน่งของพรรคการเมือง นั่นแปลว่าไม่ได้ขัดข้องที่จะตั้งนักการเมืองในอดีต ซึ่งมิได้มีตำแหน่งในพรรคการเมือง คำว่าตำแหน่งในพรรคการเมืองนั้นหมายความถึงตำแหน่งหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาพรรค เหรัญญิก ผู้บริหารพรรค แต่ไม่รวมถึงสมาชิกของพรรค

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. มีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ 4 ประการ ประการที่ 1 คืออำนาจหน้าที่ในการออกกฎหมาย ซึ่งเหมือนกับ ส.ส. ส.ว. ในอดีตนั้นเอง อำนาจนี้รวมไปถึงเรื่องการอนุมัติพระราชกำหนดที่รัฐบาลอาจจะต้องออกไปด้วยความเร่งด่วน และอำนาจในการให้ความเห็นชอบสนธิสัญญาและหนังสือสำคัญที่รัฐบาลไปทำกับต่างประเทศด้วย อำนาจหน้าที่ประการที่สองของ สนช. คืออำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบการแต่งตั้ง และถอดถอนนายกรัฐมนตรี แปลว่าการแต่งตั้งและการถอดถอนนายกรัฐมนตรีนั้นอยู่ในอำนาจของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ส่วนจะเลือกจากผู้ที่เป็นสมาชิกหรือบุคคลภายนอก ก็สุดแท้แต่สภาจะไปพิจารณากันเอง ไม่มีข้อกีดกันหวงห้ามหรือจำกัดแต่ประการใด

อำนาจหน้าที่ประการที่สาม ของ สนช. คือการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน หรือการทำงานของรัฐบาล ซึ่งจำกัดอยู่เพียงแค่การตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี แต่ไม่รวมไปถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อซักฟอก ถ้ามีปัญหาสงสัยในการทำงานก็อาจจะเชิญรัฐบาลมาสอบถาม หรือที่เรียกกันว่าอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติได้ อำนาจที่สี่หรือสุดท้ายของ สนช. คืออำนาจในการให้ความเห็นชอบบางเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดว่าต้องมาที่สภา เช่น ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งบางตำแหน่ง เท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ เช่น ตำแหน่งอัยการสูงสุด เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นต้น รวมตลอดไปถึงการให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งหมดนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของ สนช. และเป็นองค์กรที่จะเกิดขึ้นก่อนองค์กรอื่นทั้งหมดนับจากนี้ไป

แม่น้ำ หรือแคว หรือลำธารสายที่ 2 ที่แยกออกไปจากรัฐธรรมนูญนี้ก็คือคณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี 1 คน รัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน รวมเป็น 36 คน อันเป็นตัวเลขเดิมที่ใช้มาหลายปีก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากบุคคลใดก็ได้ เป็นข้าราชการประจำก็ได้ เป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจก็ได้ เนื่องจากเราได้เห็นเหตุผลว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติ ซึ่งใช้เวลาสั้นประมาณเพียง 1 ปี จึงสมควรเปิดทางที่จะให้บุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองควบคู่กันไปเป็นรายกรณี ซึ่งก็เป็นไปตามปกติที่เคยปฏิบัติเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวทุกครั้งในอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อำนาจหน้าที่คณะรัฐมนตรีแต่เดิมซึ่งเป็นแบบฉบับที่เคยรู้จักกันมาตลอดมีประการเดียวคือการบริหารราชการแผ่นดิน แต่เนื่องจากในปัจจุบันนี้อยู่ในระหว่างเวลาที่ได้กราบเรียนแล้วว่าไม่ปกติ และต้องการที่จะป้องกันขจัดสิ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเสียของหรือสูญเปล่า จึงได้กำหนดเป็นครั้งแรกให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจเพิ่มขึ้นอีกสองอย่างนอกเหนือจากการบริหารราชการแผ่นดิน นั่นก็คืออำนาจหน้าที่ในการดำเนินการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าคณะรัฐมนตรีจะดำริเอง หรือมีข้อเสนอมาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือมาจากวงการใดก็ตาม ซึ่งสามารถเชื้อเชิญเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศได้ทั้งสิ้น ไม่ได้จำกัดอยู่ว่าเป็นอำนาจของผู้ใด แต่เรากำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่คณะรัฐมนตรี โดยถือว่าเป็นคนละส่วนกับการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งหนักไปในการบริหารตามปกติหรือการพัฒนาประเทศในยามปกติ

อำนาจที่สามที่เพิ่มให้คณะรัฐมนตรี และเป็นหน้าที่ด้วยนอกเหนือจากการบริหารราชการแผ่นดินการดำเนินการปฏิรูป คือการที่จะต้องสร้างความสามัคคีปรองดองและความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยถือว่าเป็นพันธกิจที่คณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติ ลำธาร หรือแม่น้ำ หรือแควสายที่ 3 ที่แยกออกไปจากรัฐธรรมนูญนี้ในลำดับถัดไปคือสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งวันนี้บางคนเริ่มเรียกแล้วว่า สปช. แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นสำนักประถมศึกษาแห่งชาตินะครับ สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ที่ว่านี้มีสมาชิกไม่เกิน 250 คน มาจากการสรรหา ซึ่งจะแบ่งออกเป็นมาจากจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร 77 จังหวัด จึงมี 77 คน จังหวัดละ 1 คน โดยสรรหากันมาจากในแต่ละจังหวัด ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการสรรหาคณะละ 1 ชุดในหนึ่งจังหวัด แล้วก็สอดส่ายสายตาเมียงมองหาคนที่มีความเหมาะสม เป็นที่เคารพนับถือ มีความรู้มีความคิด มีความสามารถ มีเวลาอุทิศตนได้ เข้ามาเป็นผู้แทนจังหวัด จังหวัดละ 1 คน โดยเลือกเข้ามาจังหวัดละ 5 คน และให้ คสช. เลือก 1 ใน 5 นั้น คสช. จะไปเลือกบุคคลอื่นนอกจาก 5 คนที่ส่งมาจากแต่ละจังหวัดไม่ได้ ยังมีเหลืออีก 173 คนเพื่อจะรวมกันให้เป็น 250 คน 173 คนที่เหลือนั้นถือว่ากระจายกันมาจากทั่วประเทศ ไม่ได้ผูกพันกับจังหวัดหรือพื้นที่ใด แต่ผูกพันอยู่กับด้านต่าง ๆ 11 ด้าน คือด้านการเมือง หมายถึงการปฏิรูปด้านการเมือง ด้านการปกครองท้องถิ่น ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ด้านพลังงาน ด้านสื่อสารมวลชน นอกจากนั้นก็ยังมีด้านอื่น ๆ ซึ่งสิริรวมเบ็ดเสร็จจะมี 11 ด้าน มีคณะกรรมการสรรหาประจำด้าน ด้านละ 1 ชุด ตัวคนที่เป็นกรรมการสรรหาจะไม่มีโอกาสได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติด้วย คือต้องไม่มีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้อง การสรรหาสมาชิก 173 คนจากทั่วประเทศนี้จะไม่มีการไปสอดส่ายสายตาเมียงมองจากที่ไหน แต่ให้ใช้วิธีเสนอชื่อกันเข้ามา ห้ามสมัครเอง ห้ามเดินเข้ามาแสดงความจำนงว่า ผม หนู ดิฉันอยากเป็น แต่ต้องมีองค์กร มีนิติบุคคล มีสมาคม มีมหาวิทยาลัย มีสถาบันการศึกษา แม้กระทั่งวัดก็เปิดโอกาสให้เสนอชื่อเข้ามา องค์กรละ 2 คน ว่าจะเข้ามาเพื่อปฏิรูปด้านใด เพราะฉะนั้นใครจะสมัครก็ต้องไปหาองค์กรมารองรับ ให้เสนอชื่อตน และเลือกว่าตนมีความจำนงจะเข้ามาปฏิรูปด้านใด แต่เมื่อเข้ามาจริงแล้วท่านอาจจะขอเปลี่ยนไปปฏิรูปด้านอื่นก็ได้ ตรงนี้จะจำกัดเฉพาะตอนเสนอกันเข้ามาเท่านั้น แล้วกรรมการสรรหาจะเลือกเฟ้นให้ได้แต่ละด้าน ด้านละไม่เกิน 50 คน รวมแล้วคงจะได้ประมาณ 50 คูณ 11 เพราะมี 11 ด้าน ก็ได้รายชื่อ 550 คน ส่งไปที่ คสช. ที่จะเลือกเอาจากแต่ละด้านทั้ง 11 ด้าน เพื่อให้เหลือได้จำนวน 173 คน ไปรวมกับ 77 คน จาก 77 จังหวัด เป็น 250 คน

อำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ข้อที่ 1 ก็คือการเสนอแนะแนวทางการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ มีคนสงสัยว่าเสนอแล้วเอาไปทำอะไร คำตอบคือถ้าเสนอแล้วสามารถปฏิบัติได้เลยโดยไม่ต้องรอกฎบัตรกฎหมายมารองรับ ก็ให้ส่งไปยังรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือบอกไปที่ คสช. ก็จะรับไปดำเนินการตามนั้น ถ้าเรื่องใดต้องมีกฎหมายรองรับจะขอให้สมาชิกสภาปฏิรูปนั่นเองช่วยยกร่างกฎหมายแล้วนำไปเสนอต่อ สนช. แต่ว่าสมาชิกสภาปฏิรูปเสนอกฎหมายได้ แต่ต้องเสนอต่อสภาโน้นคือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อำนาจหน้าที่ข้อที่ 2 ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ คือการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีคณะกรรมาธิการไปยกร่างจัดทำขึ้น

แม่น้ำลำธารสายต่อไปคือสายที่ 4 ที่แยกออกไปจากรัฐธรรมนูญคือคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี 36 คน มาจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ 20 คน มาจากที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ 5 คน มาจากที่คณะรัฐมนตรีเสนอ 5 คน และมาจากที่ คสช. เสนออีก 5 คน แต่ คสช. จะเสนอคนไปเป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างด้วยอีก 1 คน 20+5+5+5+1 รวมเป็น 36 คน 36 คนนี้เรียกว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีอำนาจมาก คนที่จะเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ย้อนกลับไปที่ สปช. ไม่มีข้อห้ามว่า คนที่เป็นสมาชิกพรรค เป็นกรรมการพรรค แม้แต่ทุกวันนี้จะมีตำแหน่งในพรรคจะมาเป็นไม่ได้ ไม่ห้าม คือมาเป็นได้ทั้งสิ้น อายุอานามก็ลดลงมาเหลือ 35 ปีเป็นอย่างน้อย จะเป็นข้าราชการ เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ที่อยู่ใน อบจ. อบต. เทศบาลได้ทั้งนั้น เพราะงานปฏิรูปเป็นงานของประเทศ จึงพยายามให้มีข้อจำกัดน้อยที่สุด วุฒิปริญญาก็ไม่เกี่ยว จบ ป.4 ก็เป็นได้ แต่พอมาถึงคณะกรรมาธิการยกร่าง 36 คน ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความสามารถเป็นพิเศษและทำงานแข่งกับเวลา เพราะเราให้เวลาท่านทำงานเพียง 120 วัน 120 วันนี่ 4 เดือนเท่านั้นนะครับ สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จ แต่มันต้องมีเวลาก่อนหน้าและหลังจากนั้น เพราะฉะนั้นจึงใช้เวลายาวนานมากกว่า 4 เดือน แต่การยกร่างเป็นฉบับหนึ่งออกมาให้คนเห็นทั้งประเทศ 4 เดือนต้องเสร็จ ถ้าไม่เสร็จก็จะมีบทลงโทษคณะกรรมาธิการ กรรมาธิการจะต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งในทางการเมืองใน 3 ปี ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง เป็นตำแหน่งในพรรคการเมือง 3 ปีก่อนย้อนหลัง คือพยายามเอาคนปลอดจากการเมืองมาร่าง แล้วห้ามคนที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่าง ๆ เช่น เป็น กกต. เป็น ป.ป.ช. เป็นศาลรัฐธรรมนูญ มาอยู่ในกรรมาธิการยกร่าง นั่นแปลว่าคุมในเรื่องอดีต แล้วก็คุมในเรื่องอนาคตด้วยว่า คณะกรรมาธิการยกร่าง 36 คนนี้ จะไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ในอนาคตต่อไปอีกไม่ได้ภายใน 2 ปี แปลว่ากันทั้งก่อนจะมาเป็นและกันเมื่อร่างเสร็จหลังจากนี้ในอนาคต เพราะฉะนั้นคนที่จะเป็นกรรมาธิการยกร่างก็คงจะต้องนอกจากมีความรู้ มีความสามารถ มีเวลา มีความคิด คงจะต้องเสียสละเป็นพิเศษที่จะมาทำหน้าที่นี้ เมื่อร่างเสร็จจะเอาไปให้สภาปฏิรูปแห่งชาติให้ความเห็นชอบ แต่ก่อนหน้านั้นอาจจะมีการขอแก้ไข หรือที่เรียกกันว่าแปรญัตติ ถ้ากรรมาธิการเห็นชอบก็แก้ตาม ถ้ากรรมาธิการไม่เห็นชอบ กรรมาธิการจะมีสิทธิเด็ดขาดในเรื่องนี้ที่จะปกป้องรักษาร่างรัฐธรรมนูญของตนไว้ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คณะกรรมาธิการยกร่างไปร่างตามใจชอบจนแหวกแนวเกินไปหรือพิศดาร โลดโผนโจนทะยาน หรือขาดอะไรบางอย่างที่ควรจะมี จนกระทั่งกล่าวหากันอีกว่าเสียของหรือสูญเปล่า

รัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ประกาศใช้เมื่อวานนี้ จึงกำหนดกรอบไปด้วยว่ากรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องร่างภายใต้กรอบสำคัญ 4 ด้าน คือ 1. กรอบที่สภาปฏิรูปแห่งชาติได้ให้ไปตั้งแต่ต้น คือให้การบ้านไป 2. กรอบที่รัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศใช้เมื่อวานนี้ ฝากไว้ในมาตรา 35 โดยกำหนดไว้ว่ารัฐธรรมนูญที่จะไปร่างใหม่ อย่างน้อยจะต้องกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ เช่น จะต้องกล่าวถึงความเป็นรัฐเดี่ยว แบ่งแยกมิได้ จะต้องกล่าวถึงการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะต้องกล่าวและบรรยายรายละเอียดเรื่องการป้องกัน ขจัดการทุจริต และการป้องกันไม่ให้คนที่เคยได้ชื่อว่าประพฤติทุจริต หรือโกงในการเลือกตั้ง เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาดในอนาคต รวมทั้งกำหนดหลักการที่ฝากเอาไว้ด้วยว่า วางมาตรการป้องกันไม่ให้มีการนำงบประมาณแผ่นดินมาใช้ในการที่จะมุ่งหาเสียง หรือหาประโยชน์ใส่ตนโดยทุจริตหรือโดยไม่ชอบ และยังฝากมาตรการอื่นอีกที่จะต้องไปเขียน ไม่เขียนไม่ได้ รวมทั้งทบทวนความจำเป็นว่าควรจะใส่เรื่ององค์กรอิสระอะไรเอาไว้ในรัฐธรรมนูญบ้าง เพราะในเวลาที่ผ่านมาอาจจะมีองค์กรหลายองค์กรที่อาจจะไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก อาจจะแค่ออกเป็นกฎหมายธรรมดารองรับก็พอ ไม่ต้องฝากเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ เรื่องอย่างนี้ขอให้คณะกรรมาธิการยกร่างไปคิด ไปทบทวน ซึ่งมีด้วยกันหลายองค์กร ไม่ได้แปลว่าบังคับให้ไปเลิก แต่ให้ไปทบทวน ถ้าเห็นว่าจำเป็นก็ให้แสดงความจำเป็นไว้ ถ้าเห็นว่าไม่ควรจะมี ก็ได้เลิกกันเสีย ถ้าเห็นว่าควรจะมีสิ่งใดใหม่ก็ได้เพิ่มเข้าไป

แม่น้ำหรือลำธารสายสุดท้าย สายที่ 5 ที่แยกไปจากรัฐธรรมนูญคือ คสช. เอง ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ยังคงอยู่ต่อไป เพียงแต่อาจจะเพิ่มจำนวนจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 6-7 คน ขึ้นมาเป็นไม่เกิน 15 คน อำนาจหน้าที่ของ คสช. นั้น มีเพียงแค่ประการที่หนึ่ง เสนอแนะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปฏิบัติในเรื่องใด ถ้าคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วจะไม่ทำก็ได้ อำนาจหน้าที่ประการที่สอง ของ คสช. คือขอเชิญคณะรัฐมนตรีประชุมร่วมกันเพื่อหารือปัญหาสำคัญของประเทศ ถ้า คสช. ไม่เชิญไป คณะรัฐมนตรีจะเชิญมาก็ได้ ซึ่งก็เป็นแบบแผนปกติในรัฐธรรมนูญชั่วคราวทุกฉบับที่ผ่านมาว่า สามารถจัดให้มีการประชุมร่วมกันเช่นนี้ได้ ไม่มีที่ใดเลยในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวนี้ที่กำหนดให้ คสช. มีอำนาจปลดรัฐมนตรีหรือปลดนายกรัฐมนตรีดั่งที่มีผู้ร่ำลือ ไม่มีที่ใดที่กำหนดให้ คสช. เป็นพี่เลี้ยง หรือเปลือกหอยให้แก่คณะรัฐมนตรี ไม่มีที่ใดกำหนดให้คสช. มีอำนาจบังคับบัญชาคณะรัฐมนตรีหรือข้าราชการประจำใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ให้ คสช. มีอยู่เพื่อที่จะช่วยดูแลแบ่งเบาภาระคณะรัฐมนตรีในด้านความมั่นคง การรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อคณะรัฐมนตรีจะได้ทำงานบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่วอกแวกกับปัญหาที่อาจจะแทรกซ้อนสอดแทรกเข้ามาในช่วงเวลาประมาณ 1 ปีนี้ เรื่องอย่างนี้ คสช. ก็จะได้รับภาระไปดำเนินการ รวมทั้งดำเนินการในเรื่องของการสร้างความสมานฉันท์ ปรองดอง สามัคคี

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ คสช. มีอำนาจที่จะจัดการในเรื่องต่าง ๆ ได้ ในกรณีเกิดความจำเป็นสุดขีดโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปหาวิธีการนอกรัฐธรรมนูญอื่นใดอีก จึงได้กำหนดเอาไว้ในมาตรา 46 ให้คณะ คสช. นี้อาจใช้อำนาจพิเศษที่สื่อมวลชนบางท่านอาจจะอ่านเผิน ๆ แล้วเข้าใจผิดไปพาดหัวว่า คสช. มีอำนาจนิติบัญญัติบริหาร ตุลาการ นั้นไม่เป็นความจริง มีแต่เพียงอำนาจพิเศษตามมาตรา 46 นี้ว่า ถ้าคดีจำเป็นหากจะต้องจำเป็นใช้อำนาจเพื่อการสร้างสรรค์ ไม่ใช่ใช้เพื่อกำราบปราบปรามอย่างเดียว คสช. ก็อาจจะใช้อำนาจพิเศษนี้ได้ แม้จะเป็นการใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ อำนาจนี้คงไม่ได้ใช้บ่อยครั้งหรือพร่ำเพรื่อ คณะที่ยึดอำนาจในอดีตมีอำนาจนี้เกือบทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ไม่ได้ปรากฏว่าได้ใช้ทุกยุคทุกสมัย และก็ไม่ใช้ในยามที่ไม่อาจใช้กระบวนการปกติได้เท่านั้น เพื่อจะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญอื่นใดอีก ที่สำคัญคืออาจจะใช้เพื่อการสร้างสรรค์และทำในสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่คณะรัฐมนตรีเองอาจจะใช้ยากลำบากเพราะติดขัดในข้อกฎหมาย รวมทั้งปัญหาหลายอย่างด้วย ทั้งหมดนี้คือลำธาร 5 สายที่แยกออกไปจากรัฐธรรมนูญ โดยสรุปมีประโยคสำคัญที่จำเป็นต้องกราบเรียน

แน่นอนครับรัฐธรรมนูญนี้แม้จะมี 48 มาตรา ซึ่งยาวกว่าในอดีต แต่ก็ยังถือว่าสั้นเมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญฉบับถาวร หลายคนอาจจะสงสัยว่ามี 48 มาตราแค่นี้จะพอกินพอใช้ พอแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันหรือ เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องเขียนเอาไว้ สิ่งที่เราเคยรู้จักกันดีในอดีตเรื่องมาตรา 7 มันก็ต้องมาปรากฏอีกตรงนี้ว่า ถ้าไม่มีที่ใดบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ก็ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หลายคนฟังแล้วก็พึมพำว่าอ้อ ม. 7 มาอีกแล้ว ก็ที่มันยุ่งกันในอดีตไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่า ม. นี้แปลว่าอะไรหรอกหรือ เราก็รู้ว่ามันยุ่ง แต่จะไม่เขียนไว้ก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่เขียนไว้ก็จะเกิดปัญหาช่องว่าง ขาดมาตราหลายมาตรา แต่ไม่ต้องกลัวว่าถ้าเขียนแล้วไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร ถึงเวลาก็เถียงกันเหมือนกันว่าเป็นหรือไม่เป็นประเพณี คราวนี้ได้แก้ปัญหาว่าถ้าสงสัยว่าเรื่องใดเป็นประเพณีการปกครองหรือไม่ อย่าเพิ่งไปทะเลาะกัน ให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คำปรึกษาล่วงหน้าได้ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นประเพณี ทำได้ก็จะได้ทำ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญบอกไม่เป็น ทำไม่ได้ก็จะได้ไม่ต้องทำ ไม่ต้องปล่อยให้ทำไปถูก ๆ ผิด ๆ แล้วมาวินิจฉัยทีหลังว่ามันไม่เป็น ที่ทำไปแล้วผิด แล้วก็ต้องหาตัวผู้รับผิดชอบ อาจารย์พรเพชรได้ชี้แจงแล้วว่าหลายอย่างไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญนี้ หลายคนสงสัยว่าศาลยังอยู่ไหม ไม่ว่าศาลยุติธรรม ศาลทหาร ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ตอบว่าอยู่ ยังอยู่ไปตามปกติ ถามว่าองค์กรอื่นเช่น กกต. ป.ป.ช. ยังอยู่ไหม ตอบว่าอยู่ไปตามปกติ เว้นแต่องค์กรที่ คสช. ได้ออกประกาศล่วงหน้าต่อก่อนหน้านี้ยกเลิกไปแล้ว นั่นก็แล้วไป อะไรที่เขาไม่ได้พูดถึงไว้ก็ทำหน้าที่กันต่อไปตามปกติจนกว่ารัฐธรรมนูญใหม่จะมากำหนด และสุดท้ายอาจจะมีคำถามในใจหลายคนว่า รัฐธรรมนูญฉบับหน้าคือฉบับที่ 20 ที่จะไปร่างกันนั้น ร่างเสร็จแล้วจะเปิดให้ลงประชามติหรือไม่ ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เขียนไว้ แต่ก็ไม่ได้ผิดทาง เป็นสิ่งที่สามารถที่จะไปพิจารณากันตามความจำเป็นในอนาคตได้

ข้อสำคัญก็คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ทำสิ่งซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในอดีตไม่ได้เขียนไว้ แต่มีเขียนในครั้งนี้ข้อหนึ่งคือ เมื่อใดที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้คือฉบับที่ 19 ชั่วคราวนี้ มีปัญหาอย่างใดที่สมควรแก้ไขเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ แม้จะเป็นฉบับชั่วคราว คณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติจับมือกันเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อขอแก้ไขเพิ่มเติมบางเรื่องที่บกพร่องอยู่ หรือควรจะมีแม้จะเป็นฉบับชั่วคราวก็สามารถจะแก้ไขได้อนาคต คือได้พยายามทำให้มีความยืดหยุ่นที่สุด เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและลำธาร 5 สายที่แยกออกไปจากรัฐธรรมนูญในวันนี้สามารถไหลได้คล่อง สามารถที่จะดำเนินการได้โดยไม่สะดุด พบสะดุดที่จุดไหนก็จะได้แก้ไขกันไป และสุดท้ายที่มีคำถามในใจ ขออนุญาตตอบก่อนที่จะมีการถามในตอนหลังว่าลำธาร 5 สายจะอยู่ไปนานจนถึงเมื่อใด คำตอบ ตัวรัฐธรรมนูญฉบับนี้มันอยู่ไปจนมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ต้องเลิกแน่ เพราะของใหม่มาแทน ของเก่าก็หมดไป สนช. นั้นจะอยู่ไปจนกระทั่งถึงวันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาชุดหน้า คือมี ส.ส. สมัยหน้าเมื่อใด สนช. ก็ไม่จำเป็นและหมดไป คณะรัฐมนตรีจะอยู่ไปเมื่อใด จนกระทั่งถึงเมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่มารับไม้ส่งต่อครับ ชุดเก่าก็หมด ชุดใหม่ก็เข้ามาแทน สภาปฏิรูปแห่งชาติจะอยู่ไปจนถึงเมื่อใด คำตอบคือว่าเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ร่างเสร็จและเขียนเกี่ยวกับสภาปฏิรูปอย่างไร ก็ให้เป็นไปตามอย่างนั้น รัฐธรรมนูญฉบับหน้าอาจจะเขียนให้สภาปฏิรูปอยู่ทำหน้าที่ปฏิรูปเรื่องที่ค้างคาต่อไปก็ได้ หรือจะไม่ให้อยู่เพราะจะเวนคืนอำนาจนี้ให้เป็นของ ส.ส. ที่เขาเข้ามาก็ได้ ก็ฝากไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะทำหน้าที่เสร็จและหมดไปเมื่อใดก็เมื่อร่างเสร็จลงพระปรมาภิไธยเสร็จ ประกาศใช้ คณะกรรมาธิการก็สิ้นไปเมื่อนั้น และ คสช. จะอยู่ไปจนถึงเมื่อใด โดยหลักเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งก็คงจะไม่ได้เขียนเรื่อง คสช. เอาไว้ในฉบับใหม่อีก คสช. ก็จะหมดไปเมื่อนั้น ทั้งหมดนี้ก็คือแผนและขั้นตอนที่จะเกิดขึ้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปีบวกลบ ก็ขอกราบเรียนเพื่อความเข้าใจครับ

พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณนะครับที่ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับนี้มา พี่น้องประชาชนคงได้รับทราบรายละเอียดและเนื้อหาจากอาจารย์ทั้งสองแล้วนะครับ ผมในนามของท่านพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนและผู้มีเกียรติที่เคารพ ตลอดจนสื่อมวลชนที่รักทุกท่านครับ ที่มีความห่วงใยในเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ขอยืนยันในเจตนารมณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่จะต้องรับผิดชอบการเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เพื่อมาแก้ไขปัญหาของชาติที่มีมาก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม ให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย จึงจำเป็นต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการตามแผนงานที่ได้เคยให้ไว้กับพี่น้องประชาชน มิได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น และจะขอยืนยันอีกครั้งว่าจะนำไปใช้ในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และมิให้เกิดความเสียหายเป็นอันขาด จึงขอโอกาสและเวลาให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ปฏิบัติตามแผนงานที่ได้เคยให้ไว้ กระผมทั้งสามคนขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนและผู้มีเกียรติที่เคารพครับ ขอขอบพระคุณครับ

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ