วันนี้ เวลา19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ซึ่งเช้ากว่าประเทศไทยกว่าเวลาที่ประเทศไทย 5 ชั่วโมง) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบทูตไทยในยุโรปพร้อมมอบนโยบายทีมประเทศไทยและนักธุรกิจไทยที่มาร่วมการประชุมสภาธุรกิจเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Business Forum-AEBF) โดยมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมรับฟัง อาทิ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตไทยในยุโรป ทีมประเทศไทยในสาธารณรัฐอิตาลี และนักธุรกิจไทยที่มาร่วมประชุมสภาธุรกิจเอเชีย-ยุโรปด้วย สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความประทับใจและถือเป็นเกียรติที่ได้โอกาสมาพบปะกับเอกอัครราชทูต ข้าราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลมาโดยตลอด รัฐบาลมีความมุ่งหวังเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย โดยมีการกำหนดยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความเข้มแข็ง การบริหารประเทศได้เดินหน้าตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 11 และสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งอย่างรวดเร็วที่สุด สำหรับการใช้กฎหมายพิเศษก็เพื่อรักษาความเรียบร้อยให้สามารถเดินหน้าปฏิรูปได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ได้มีการแก้ไขปัญหาเร่งต่างๆ ขณะเดียวกัน การค้าต่างประเทศยังคงดำเนินไปตามปกติ นักธุรกิจและนักลงทุนจากต่างประเทศยังคงสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเป็นโอกาสของเราในระยะยาว
อย่างไรก็ตามการเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ 10 ปี ไม่ได้หมายความว่า จะต้องนำทรัพยากรของประเทศทั้งหมดมาใช้ทั้นที ขณะนี้ทุกประเทศต่างมีความกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำมาสู่ปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบัน การลดความเหลื่อมล้ำจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาล โดยทุกคนจะต้องได้รับการดูแล รัฐบาลได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านต่างๆ รวมทั้งคณะกรรมการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ เพื่อนำที่ดินที่รัฐถือครองมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยเหลือคนยากจนให้สามารถมีที่ดินทำกินโดยไม่นำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ เช่นเดียวกับ มาตรการดูแลสินค้าเกษตรทั้งข้าว ยาง มันสำปะหลัง จะต้องร่วมมือกันเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่า โดยการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วย รัฐบาลยังได้มีการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 แห่งและเพิ่มเป็น 7 แห่งในปีหน้า เพื่อให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค โดยจะมีการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภค เส้นทางคมนาคมรวมทั้งการพัฒนาการเชื่อมโยงต่างๆ ทั้งในประเทศและภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม เอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศ จะต้องมีส่วนส่งเสริมการค้า การลงทุนจากต่างประเทศด้วย เอกอัครราชทูต จะต้องเรียนรู้และมีความเข้าใจสินค้าต่างๆของประเทศ ซึ่งไทยเองมีภาคเอกชนที่เข้มแข็ง มีการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ภายใต้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยหวังว่าจะมีการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในระยะยาวด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีการหารือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้หลากหลาย และสอดคล้องกับอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมการพัฒนาประเทศ อาทิ พลังงานทดแทน การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร รวมทั้งจะต้องมีการพัฒนาบุคคลกรไทยที่ใช้แรงงานให้สามารถพัฒนาตนเองให้ขึ้นมาเป็นผู้บริหารได้
ความร่วมมืออาเซียนต้องเน้นการค้ารอบบ้านระหว่างกันให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ไทยและอาเซียนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม อาเซียนจะต้องร่วมมือพัฒนาภูมิภาคเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประชากรโลก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า ความมุ่งหวังของรัฐบาลในการบริหารประเทศ เพื่อการลดความเหลื่อมล้ำ ประเทศสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน ซึ่งต้องได้รับความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขอคนไทยทุกคนรักประเทศไทย ร่วมกันขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าได้ต่อไป
กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ / สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th