ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังให้การต้อนรับศาสตราจารย์ นายแพทย์ไมเคิล บรูซ ซิมเมอร์แมนน์( Prof Dr. Michael Bruce Zimmermann ) ผู้อำนวยการสภานานาชาติเพื่อการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน (International Council for the Control of Iodine Deficiency Disorders-ICCIDD)จากสมาพันธรัฐสวิส และหารือแลกเปลี่ยนการแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนในประเทศ ว่า ผู้อำนวยการนานาชาติเพื่อการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนได้ชื่นชมนโยบายโครงการแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีนของประเทศไทยว่า มีความก้าวหน้าไปมาก และดำเนินการได้ดีในระดับชุมชนหมู่บ้านหลังจากที่ได้ลงไปเยี่ยมชมการดำเนินงานในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดมหาสารคาม และร้อยเอ็ด ในช่วงวันที่ 27-28 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา โดยได้เสนอให้ไทยประชุมประสานความร่วมมือภาคีเครือข่ายในการดำเนินงานควบคุมป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ กล่าวว่า ภาวะขาดไอโอดีน เป็นปัญหาทั่วโลก ผลงานที่ประเทศไทยดำเนินการได้ดี และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ คือการป้องกันที่กลุ่มเสี่ยงขาดสารไอโอดีน ที่สำคัญคือหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มแรกของชีวิตในครรภ์ โดยมีการตรวจหาไอโอดีนในปัสสาวะ และให้ยาเม็ดเสริมไอโอดีนในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย ขณะที่ประเทศอื่นๆดำเนินการในเด็กวัยเรียน นอกจากนี้ยังได้ควบคุมมาตรฐานการผลิตเกลือเสริมไอโอดีน โดยได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้เกลือบริโภค ต้องมีปริมาณไอโอดีน 20-40 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักเกลือ 1 กิโลกรัม ตั้งแต่พ.ศ.2554 เป็นต้นมา และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้สนับสนุนเครื่องผสมเกลือเสริมไอโอดีนจำนวน 100 เครื่อง ให้แก่โรงงานผลิตเกลือไอโอดีนขนาดกลาง และขนาดเล็ก และมีเครื่องตรวจคุณภาพเกลือที่ทันสมัย เครื่องมือนี้สามารถ บอกปริมาณของไอโอดีนที่ผสมอยู่ในเกลือออกมาเป็นตัวเลขได้ทันที ทำให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด
ทางด้านดร.นายแพทย์พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ขณะนี้กรมอนามัยได้เร่งควบคุมป้องกันโรคขาดสารไอโอดีน เน้นหนัก 5 มาตรการคือ 1.การเฝ้าระวังภาวะขาดสารไอโอดีนในหญิงตั้งครรภ์ โดยให้ยาเม็ดเสริมไอโอดีนแก่หญิงตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอดคือช่วงให้นมบุตร 6 เดือน และติดตามการกินยาของหญิงตั้งครรภ์อย่างต่อเนื่อง 2.กลุ่มเด็กปฐมวัยอายุ 3-5 ปีที่อยู่ในศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศกว่า 20,000 แห่ง ให้ใช้เกลือเสริมไอโอดีนปรุงอาหารกลางวัน 3. การเฝ้าระวังการใช้เกลือไอโอดีนระดับครัวเรือน 4.การรณรงค์หมู่บ้านไอโอดีน เพื่อให้ทุกหลังคาเรือนใช้เกลือที่มีไอโอดีนปรุงอาหาร และ5 ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาตรวจผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสเสริมไอโอดีนอย่างสม่ำเสมอ
2 พฤศจิกายน 2557
ที่มา: http://www.thaigov.go.th