พร้อมกล่าวชี้แจงว่า หากให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งดำเนินการเรื่องนี้ จะล่าช้าเกินไป เพราะ วันนี้ประเทศต่าง ๆ ได้เตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านได้มีการใช้พลังงานในประเทศมากขึ้น เช่น พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย(Joint Development Area :JDA) ซึ่งปีนี้ตัดออกไป 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทำให้พลังงานตรงนั้นของประเทศหายไป จึงต้องสั่งซื้อเพิ่มจากต่างประเทศ ซึ่งแพงกว่าผลิตในประเทศ ที่ราคาอยู่ที่ 200 บาทต่อ 1 ล้านบีทียู หากซื้อจากต่างประเทศ ราคาจะอยู่ที่ 300-400 บาทต่อ 1 ล้านบีทียู หากจะซื้อก็สามารถทำได้ แต่ต้องให้พลังงานที่มีราคาแพงมาผสมกับราคาถูก ถ้าราคาถูกมีน้อยก็ต้องซื้อแพง เมื่อเอามาจำหน่ายก็มีราคาแพงอยู่ดี
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ข้อสรุปทั้งหมดต้องรอฟังการหารือในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ แต่ทั้งนี้ทุกอย่างต้องมีกฎหมาย ซึ่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ยังมีอยู่ ในเรื่องการจัดหาแหล่งพลังงาน เป็นหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน ไม่ใช่หน้าที่ของนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้รับทราบในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยกระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการตาม พ.ร.บ.ได้ทันที หากไม่ทำจะมีความผิดหรือไม่นั้น ต้องไปหารือกัน
พร้อมกล่าวว่า การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นในการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมฯ จะทำให้เกิดความเข้าใจ และให้ถือว่าเป็นเวทีสุดท้าย ต้องให้กำลังใจทุกคนว่า ต้องทำให้สำเร็จ และอยากให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมรับฟัง และช่วยกันทำให้ได้ ต้องหาจุดให้ได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เอาตัวเลขมาชี้แจงและต้องตอบคำถามกันให้ได้ ฝ่ายรัฐบาลก็ติดขัดเรื่อง พ.ร.บ. จึงทำให้ถอยไม่ได้ ก็ต้องไปดูว่าจะถอยหรือจะแก้อย่างไร โดยปัญหามีอยู่ 2 อย่างคือ 1. กฎหมายว่าอย่างไร 2. ถ้าในช่วง 5-10 ปี ข้างหน้าพลังงานหายไปแล้ว จะจัดหาพลังงานใดมาทดแทน แล้วถ้าหาไม่ทัน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้
ที่มา: http://www.thaigov.go.th