นายกรัฐมนตรีแนะหลักการคำนวณภาษีใช้สูตรยึดหลักให้ประชาชนทุกภาคส่วนตระหนักทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาประเทศ

ข่าวทั่วไป Tuesday March 10, 2015 16:50 —สำนักโฆษก

รองโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีแนะหลักการคำนวณภาษีใช้สูตรยึดหลักให้ประชาชนทุกภาคส่วนตระหนักทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาประเทศ ผู้มีรายได้มากจ่ายมาก ผู้มีรายได้น้อยจ่ายน้อย โดยการกำหนดอัตราภาษีต้องคำนึงถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับประชาชน

วันนี้ (10 มี.ค. 58) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งการต่อที่ประชุมฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับกรณีการก่อเหตุร้ายในช่วงที่ผ่านมาและการเกิดเหตุการณ์ปาระเบิดที่บริเวณหน้าศาลอาญารัชดา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เคยกำชับฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับวิธีการและแผนการปฏิบัติงานให้รัดกุมมากขึ้นหลังจากก่อนหน้านั้นได้เกิดเหตุระเบิดที่บริเวณสยาม ซึ่งเมื่อมาเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นอีกทำให้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ในที่เกิดเหตุ จึงขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่ได้บูรณาการงานข่าวร่วมกันและตลอดจนเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบที่เข้ามาช่วยปฏิบัติงานร่วมกันอีกทางหนึ่ง จนการปฏิบัติหน้าที่ประสบผลสำเร็จ

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ให้ความมั่นใจกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหากข้อมูลหลักฐานเชื่อมโยงถึงบุคคลใดก็ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ กฎหมาย และข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ขณะเดียวกันขอความร่วมมือภาคประชาชนแจ้งข้อมูลข่าวสาร เบาะแสต่าง ๆ ที่มีให้กับหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันป้องกันระงับเหตุที่จะเกิดขึ้น

สำหรับในส่วนของเครือข่ายภาคประชาชน และหน่วยงานราชการ ทั้งในส่วนของตำรวจ ทหาร พลเรือน ที่มีมวลชนของตนเอง ขอให้พิจารณาใช้ประโยชน์เครือข่ายมวลชนดังกล่าวที่ตนเองมีอยู่ โดยจัดให้มีการลงทะเบียนจัดทำระบบบัญชี เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารหารือร่วมกันและใช้เครือข่ายภาคประชาชนให้เกิดประโยชน์ในการแจ้งข้อมูลข่าวสาร เบาะแส เพื่อป้องกันระงับเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนจะดูแลความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่

นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการปิดเทอมภาคฤดูร้อนว่า ต้องการให้หน่วยงานที่มีศักยภาพและขีดความสามารถ จัดทำโครงการภาคฤดูร้อนให้กับเด็กนักเรียนในแต่ละระดับชั้น เพื่ออบรมปลูกฝังอุดมการณ์ให้เกิดการเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันด้วยความรักความสามัคคี รวมทั้งให้มีการฝึกอบรมความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เช่น ภาษาอังกฤษ กีฬา ฯลฯ และพิจารณาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในเรื่องดังกล่าว โดยไม่เป็นภาระของผู้ปกครอง ทั้งในเรื่องของการดูแลเด็กและค่าใช้จ่ายด้วย

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งสืบเนื่องจากคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมต่าง ๆ 4 คณะ ภายใต้คณะกรรมการดังกล่าว โดยคณะอนุฯ ที่ 1 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์และการลงทุน คณะอนุฯ ที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน คณะอนุที่ 3 เป็นเรื่องจัดหาที่ดินสำหรับผู้ประกอบการทั้งหลาย และคณะอนุฯ ที่ 4 เป็นเรื่องเกี่ยวกับแรงงาน สาธารณสุข และความมั่นคง อย่างไรก็ตามการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษถึงแม้จะมีคณะกรรมการดังกล่าว แต่ก็ได้ผลระดับหนึ่งเท่านั้นในการที่จะขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขณะเดียวกันภาระต่าง ๆ ก็ตกอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัด ทำให้การขับเคลื่อนการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ดังนั้นจึงให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เปลี่ยนไป เช่น ช่วงแรกจะมีการดำเนินการใน 5 เขต ก็จะมีคณะอนุกรรการ 5 คณะ ส่วนคณะอนุกรรมการที่จะมีการแต่งตั้งในแผนงานต่อไปให้พิจารณาแต่งตั้งตามความเร่งด่วน สำหรับคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ดังกล่าวประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ภาคส่วนราชการและภาคเอกชน เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนในเรื่องต่าง ๆ ให้การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ สามารถดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด

ทั้งนี้ สาเหตุที่มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ดังกล่าว เนื่องจากในเขตเศรษฐกิจพิเศษมีปัญหาและปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในแต่ละเขตเศรษฐกิจขึ้นมาก็จะทำการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้ประสานงานเพื่อดำเนินการต่อไป

ส่วนกรณีเรื่องการจัดเก็บภาษีที่หลายฝ่ายกำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันในขณะนี้และมีการรับทราบข้อมูลที่ไม่ชัดเจน นายกรัฐมนตรี จึงได้ให้แนวทางกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลและทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องดังกล่าวให้ครบทั้งระบบ ว่าปัจจุบันรัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีจำนวนเท่าไร ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วพบว่ามี 18 % ของรายได้สหประชาชาติ ขณะที่รัฐมีรายจ่ายที่จะต้องดูแลประชาชน ทั้งในเรื่องสวัสดิการ โครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาประเทศ ดังนั้นจะต้องชี้แจงให้ประชาชนรับทราบว่ามีจำนวนเท่าไร โดยเฉพาะหากรัฐมีรายได้น้อยแต่มีรายจ่ายมากกว่าก็จะทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ทันกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้ระบบในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีประมาณ 40% ขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 18% เพราะฉะนั้นการจัดเก็บภาษีต่าง ๆ จึงไม่ได้หมายความว่ารัฐจะมารีดภาษีจากประชาชน ขณะเดียวกันหากเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็จะมีการดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ที่จะส่งผลกระทบต่อการเสียคะแนนเสียงและการยอมรับ แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการในเรื่องภาษีต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศและสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับลูกหลานในอนาคตโดยไม่คำนึงถึงการเสียคะแนนเสียงแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ออกมาขณะนี้ เป็นเพียงตัวเลขสูตรคำนวณเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งตรงนี้นายกรัฐมนตรี ได้ให้หลักการว่า การจะคำนวณสูตรอะไรก็แล้วแต่ต้องยึดหลักให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้ตระหนักว่าทุกคนมีภาระที่จะต้องมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาประเทศ เช่น ผู้มีรายได้มากจ่ายมาก ผู้มีรายได้น้อยจ่ายน้อย ทั้งนี้การจัดตั้งเพดานภาษีหรือการกำหนดอัตราภาษีของบ้านและที่ดิน ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการคำนวณภาษีต้องคำนึงถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับประชาชน โดยกระทรวงการคลังรับที่จะไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ