1. การสร้างความเข้มแข็งของประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้เร่งดำเนินการทุกมิติทั้งด้านอุตสาหกรรม ธุรกิจ SMEs และเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชน ทั้งนี้ สำหรับการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวนประมาณสองล้านหกแสนกว่ารายนั้น มีธุรกิจ SMEs จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไว้แล้วประมาณหกแสนกว่าราย และอยู่ในระบบการเสียภาษีอีกจำนวนประมาณล้านกว่าราย ส่วนที่เหลือขึ้นบัญชีไว้แต่ไม่ได้จดทะเบียน เพราะฉะนั้น รัฐบาลจะให้การสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ให้อยู่ในกรอบในกฎระเบียบ ตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียงมีภูมิคุ้มกัน มีเหตุผล มีมาตรการลดความเสี่ยงเพื่อความเข้มแข็งของธุรกิจต่อไป ส่วนธุรกิจเอสเอ็มอีที่ไม่สามารถดำเนินการได้ต้องปรับเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน โดยมอบหมายให้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) และธนาคารเอสเอ็มอี ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์เข้าไปดูแลให้สินเชื่อเพื่อประกอบกิจการต่อไปได้ โดยรัฐบาลจะพยายามไม่สร้างภาระให้กับประชาชน
2. การปราบปรามบ่อนการพนัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้แจ้งเบาะแสมาที่สถานีตำรวจ และศูนย์ดำรงธรรมที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ ถ้าตรวจสอบพบว่ามีความผิดให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที
3. การ ออกหมายจับ พล.ท.มนัส คงแป้น ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ในข้อหาสมคบกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปโดยกระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ต้องสอบสวนตามกระบวนการ โดยจะยึดหลักกฎหมายเป็นหลัก
4. การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยในเรื่องของการเกิดความขัดแย้ง ต้องให้ประชาชนยอมรับ และได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ ให้ประเทศชาติมีความยั่งยืน ไม่มีการแบ่งแยกสีที่สร้างความขัดแย้งและการต่อต้าน สำหรับกรณีการเปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอกนั้น นายกรัฐมนตรียืนยันไม่ใช่ตนเองแน่นอน ซึ่งเป็นเพียงการเปิดช่องให้มีผู้บริหารประเทศกรณีเกิดความขัดแย้งทางเมืองเท่านั้น ทั้งนี้ เป็นเพียงข้อเสนอยังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้
5. ขั้นตอนการถอดยศ พล.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีคณะกรรมการดำเนินการพิจารณาตามความผิด ถ้าผิดต้องดำเนินการกฎหมาย รวมไปถึงการขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืนซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ สำหรับการรวมกลุ่มต่อต้านถ้ามีการถอดยศ พล.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร นั้น ถือว่าบุคคลเหล่านี้มีความผิด ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ขณะนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ติดตามดูการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดถ้าพบมีการเคลื่อนไหวเกินขอบเขต ทาง คสช.จะเรียกกลุ่มบุคคลดังกล่าวมาปรับทัศนคติต่อไป
6. การส่งเสริมสินค้าฮาลาลของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การส่งเสริมสินค้าฮาลาลจะเชื่อมต่อวัสดุต้นทุนการผลิตภายในประเทศ และส่งต่อธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศตุรกี ประเทศบรูไน และประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้มีการหารือกันแล้ว เพื่อเชื่อมต่อธุรกิจและการดูแลพี่น้องมุสลิม
7. กรณีการโยกย้ายถิ่นฐานของชาวโรฮิงญา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การทำงานมีความชัดเจนมากขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านให้การยอมรับและพอใจในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยยังคงให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่มา: http://www.thaigov.go.th