นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 ทั้งสองฝ่ายจะร่วมผลักดัน SMEs เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ข่าวทั่วไป Thursday November 19, 2015 14:10 —สำนักโฆษก

วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2558) เวลา  08.45  น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคี กับนายซี วาย เลิง ผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ระหว่างการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 ภายหลังการหารือ พลตรี วีรชน         สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

ทั้งสองฝ่ายกล่าวยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายพอใจกับภาพรวมความสัมพันธ์ไทย-ฮ่องกง โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน การขยายการส่งออกสินค้าเกษตร ซึ่งฮ่องกงถือเป็นคู่ค้าและคู่ลงทุนที่สำคัญลำดับต้นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฮ่องกง ยังมีความแนบแน่นในทุกระดับ ทั้งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระดับประชาชนต่อประชาชน โดยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณฮ่องกงที่ให้ความสนใจสั่งซื้อข้าวไทยเป็นจำนวนมากมาตลอด ขอยืนยันว่า ไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมและเฝ้าระวังมาตรฐานคุณภาพอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสินค้าข้าวและผลไม้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคและชื่อเสียงสินค้าไทยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ขอให้ฮ่องกงช่วยตรวจสอบกรณีการลักลอบปนเปื้อนข้าวส่งออกจากไทย เพราะก่อนการส่งออกข้าวจากท่าเรือของไทย มีการตรวจสอบมาตรฐานและความถูกต้องอย่างเข้มงวดเมื่อถึงปลายทาง ก็ตรวจซ้ำอีกครั้ง แต่กลับพบว่า มีการลักลอบปนเปื้อนข้าว ซึ่งเป็นการทำลายชื่อเสียงคุณภาพข้าวของไทย ซึ่งไทยขอให้ฮ่องกงช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย

การส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ริเริ่มการท่องเที่ยวทางทะเล เพื่อเปิดรับการท่องเที่ยวทางเรือสำราญ เพิ่มเติมอีกด้วย รวมทั้ง การจัดทำการโปรแกรมการท่องเที่ยวแบบแพ็คเกจ (Package) เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทั้งไทย ฮ่องกง และอาเซียน

สำหรับการสร้างความเชื่อมโยงนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทย เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบ รถ ราง และเรือ เชื่อมโยงแต่ละประเทศ ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและย่นระยะเวลาการเดินทาง ซึ่งฮ่องกงมีความเชี่ยวชาญซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไทย ทั้งนี้ ผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวว่า ฮ่องกงมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบโลจิสติกทั้งถนน อุโมงค์ โดยเฉพะราง และดำเนินควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาที่ดินบริเวณโดยรอบเส้นทางรถไฟ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุดทั้งต่อชุมชนและเศรษฐกิจประเทศโดยรวม

นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนให้นักลงทุนชาวฮ่องกงมาลงทุนในไทยทั้งลักษณะกลุ่มอุตสาหกรรม (Cluster) และ Super Cluster ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนภาคเอกชน ผ่านสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนเป็นพิเศษ

สำหรับความร่วมมือเพื่อการส่งเสริม SMEs นั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความสำคัญของการเชื่อมโยง SMEs ระหว่างกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งการเข้าถึงสิทธิประโยชน์จากกรอบความร่วมมือการค้าเสรี ทุกระดับ เพื่อให้ SMEs ของแต่ละประเทศสามารถเติบโตไปพร้อมๆ กัน ทั้งนี้ ผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวเห็นพ้อง ว่า สำหรับฮ่องกงแล้ว SMEs ถือเป็นแกนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจของฮ่องกง โดยฮ่องกงเน้นส่งเสริม SMEs ตั้งแต่เริ่มธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผ่านระบบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการให้ความสำคัญในการออกกฎระเบียบเพื่อให้การริเริ่มจัดตั้งธุรกิจ เป็นไปได้โดยง่ายและสะดวก ขณะเดียวกัน กฎหมายต่างๆจะต้องเอื้อประโยชน์ต่อการประกอบการเพื่อส่งเสริมการเติบโตและให้ธุรกิจสามารถดำรงอยู่ได้

ผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เห็นชอบตามข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีที่อยากเห็นความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ SMEs ของทั้งสองฝ่าย โดยเสนอให้มีการหารือระหว่างสถาบันและองค์กรเอกชน ระหว่างกัน อาทิ หอการค้าไทย-ฮ่องกง เป็นต้น

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีและผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ยังเห็นพ้องในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและพร้อมสนับสนุนความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างกัน

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ