โฆษกรัฐบาลระบุนายกฯ ย้ำข้าราชการทำงานเชิงรุก มีวิสัยทัศน์ ทุ่มเทให้สมกับการรับเงินเดือนภาษีประชาชน โดยจะปรับเปลี่ยนการประเมินสอดคล้องตามบทบาท อำนาจหน้าที่ของข้าราชการแต่ละส่วน

ข่าวทั่วไป Tuesday December 8, 2015 10:09 —สำนักโฆษก

วันนี้ (8 ธ.ค.58) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งการต่อที่ประชุมฯ โดยนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อกรณีที่มีกลุ่มการเมืองออกมาระบุว่าที่ผ่านมานโยบายหรือโครงการใดที่ดำเนินการแล้วไม่เป็นผลเพราะข้าราชการไม่ใช่นักการเมืองและวันนี้กลุ่มบุคคลดังกล่าวไม่อยู่แล้ว รัฐบาลนี้หากทำไม่ได้ก็อย่ามาโทษกลุ่มการเมืองดังกล่าว อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ไม่ได้สนใจต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มการเมือง แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือข้าราชการในฐานะที่เป็นผู้นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งต้องมีการประสานงาน ชี้แจงให้ข้อคิดเห็น ติดต่อและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ซึ่งตรงนี้คือส่วนสำคัญที่นายกรัฐมนตรี ต้องการปลุกจิตสำนึกของข้าราชการทุกกระทรวงให้เห็นถึงบทบาทหน้าที่อันสำคัญ และต้องทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ ทั้งการปฏิบัติและการสร้างความเข้าใจควบคู่กันไป โดยอย่าปล่อยให้มีความขัดแย้งในเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นในพื้นที่ ดังนั้น ข้าราชการ ทั้งระดับบน กลาง และล่าง ต้องประสานงานกัน และให้นำกลุ่มที่มีความคิดเห็นขัดแย้งเสวนาเพื่อหาข้อยุติให้ได้ว่าแท้จริงแล้วแนวความคิดของใครถูกหรือไม่ถูก โดยให้นำแนวความคิดเหล่านั้นมาผสมผสานกัน ซึ่งหากดำเนินการเช่นนี้ได้จะทำให้ทุกโครงการที่เกิดขึ้นจะมีข้อยุติและทำให้สามารถขับเคลื่อนประเทศและพัฒนาต่อไปได้

เพราะฉะนั้น จึงขอให้ข้าราชการคิดและทำงานเชิงรุก มีวิสัยทัศน์ ทุ่มเทให้เหมาะสมกับการรับเงินเดือนภาษีของประชาชน ซึ่งตรงนี้ทำให้สืบเนื่องไปถึงเรื่องของการประเมินผลข้าราชการด้วย โดยจะมีการปรับเปลี่ยนการประเมินให้สอดคล้องไปตามบทบาท อำนาจหน้าที่ของข้าราชการแต่ละส่วนแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ต้องมีการประเมินทั้งความประพฤติส่วนตัวบุคคล ผลงานที่เกิดขึ้น และการควบคุมบังคับบัญชาหน่วย เช่น กรณีของครู จะต้องอยู่ในห้องเรียนให้มาก การเพิ่มวิทยฐานะด้วยการวิจัยก็ส่วนที่จะทำให้มีองค์ความรู้มากขึ้นแต่อย่าให้เป็นปัจจัยหลักสำคัญในการพิจารณาคนขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น เพราะคนที่จะสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ต้องเชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองกำลังปฏิบัติอยู่ ซึ่งตรงนี้จะสามารถตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาบุคลากรของประเทศได้ในวันข้างหน้า โดยนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเร่งรัดดำเนินการดังกล่าวให้ทันในการประเมินของปีงบประมาณ 2559 ต่อไป

ส่วนเรื่องการเพิ่มการผลิตแพทย์นั้น ปัจจุบันสิ่งที่พบคือคนได้รับการคัดเลือกเข้ามาเรียนแพทย์เมื่อจบแล้วบางคนได้ลาออกไปทำงานอิสระส่วนตัวและยินดีที่จะจ่ายเงินค่าปรับหรือเงินค่าประกัน ทำให้มีบรรยากาศของแพทย์สมองไหล อย่างไรก็ตามถึงแม้ประเทศไทยจะมีแพทย์จำนวนมาก แต่ในอนาคตประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นฮับ (hub) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุขของภูมิภาค แต่จำนวนปริมาณแพทย์ที่ลงไปให้บริการกับประชาชนในท้องถิ่นและภูมิภาคยังมีจำนวนน้อย นายกรัฐมนตรี จึงมีนโยบายให้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาหาแนวทางที่จะสามารถผลิตแพทย์เพิ่มได้และต้องทำงานในพื้นที่เพื่อให้บริการกับประชาชน ทำให้ประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ เข้าถึงบริการทางสาธารณสุขและแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง

พร้อมกันนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงถึงเรื่องพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ ที่ครม.ได้ผ่านความเห็นชอบไป ว่า กฎหมายดังกล่าวไม่ใช่เป็นกฎหมายที่ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการทำ GMOs แต่เป็นกฎหมายที่ต้องการจะกำหนด กฎ กติกา หลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่าจะควบคุมความปลอดภัยของการตัดต่อพันธุกรรมในพืชและสัตว์อย่างไร เพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่าในประเทศไทยมีผลผลิตเกี่ยวกับ GMOs เข้ามาขายในประเทศแล้ว ซึ่งตรงนี้จะมีวิธีการควบคุมอย่างไรที่จะไม่ให้มีผลกระทบต่อพืช คน และสัตว์ในประเทศ เพราะฉะนั้นจึงมีกฎหมายดังกล่าวออกมา และกฎหมายฉบับนี้มีขั้นตอนควบคุมที่ละเอียดก่อนที่จะนำผลผลิตออกมาจำหน่ายได้ต้องผ่านการทดสอบจากห้องทดลองและผ่านการทดสอบในภาคสนามที่มีการประเมินความเสี่ยงและประเมินผลกระทบต่อคนและสัตว์เรียบร้อยแล้ว ตลอดจนขั้นตอนในการขออนุญาตผู้ที่ประกอบการจะต้องเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน จากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรวบรวมส่งให้คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญพิจารณาก่อนและทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างถูกต้องชัดเจน

อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวเมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วก็จะส่งยังสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา โดยจะมีการเชิญผู้ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันมาศึกษาทำความเข้าใจ หากกฎหมายดังกล่าวเป็นผลดีก็จะผ่านแต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ผ่าน โดยขอให้เข้าใจในวัตถุประสงค์ของรัฐบาลว่าสิ่งใดที่ยังมีความกังขาก็จะมีการนำมาพิจารณาในรายละเอียดอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นขอให้กลุ่มและผู้ที่มีความเป็นห่วงในเรื่องนี้อย่าเพิ่งกังวลจนเกินไป

---------------------------

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ