ด้าน H.E. Mr.Shiro Sadoshima เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยและกลุ่มอาเซียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อญี่ปุ่นด้วย พบว่าจากการ ที่อัตราการว่างงานของไทยต่ำกว่าร้อยละ 1 ย่อมหมายถึงการอยู่ในภาวะขาดแคลนแรงงานที่อาจเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ในขณะเดียวกันนวัตกรรมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเล็งเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญทางด้านนวัตกรรมของไทยไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อการประกอบการด้านอุตสาหกรรม กล่าวคือมีอัตราส่วนเพียง 1,300 : ประชากร 1 ล้านคน จึงเสนอให้รัฐบาลของทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันเพื่อพัฒนาบุคลากรผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ อาทิ ผู้จัดการ วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เป็นต้น เมื่อเปรียบเทียบประเทศไทยกับกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทยมีจุดแข็ง มีบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากที่มาลงทุนในประเทศไทย มีมหาวิทยาลัยที่มีความร่วมมือกันหลายสาขา ซึ่งเป็น ความร่วมมือที่ดีในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
Mr. Akira Murakoshi ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ กล่าวว่า หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ ได้ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๔๙๗ มีบริษัทญี่ปุ่นเข้าร่วมเป็นสมาชิก 1,688 บริษัท มีลูกจ้างคนไทยประมาณ 9 แสนคน อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต 590,000 คน และอุตสาหกรรมด้านบริการ 3 แสนกว่าคน จากการสำรวจข้อมูลความต้องการบุคลากรพบว่า บริษัทญี่ปุ่นมีความต้องการระดับบริหารจัดการมากที่สุด จึงเสนอให้มีการหารือกันในรายละเอียดในเวทีการประชุมด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในโอกาสต่อไป
------------------------------
ข้อมูล : สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th