นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ

ข่าวทั่วไป Monday November 30, 2020 14:38 —สำนักโฆษก

นายกฯ หารือแนวทางความร่วมมือกับโปรตุเกสในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายฟรังซิชกู เด อัสซิช มูไรช์ เอ คูญา วาซ ปัตตู (H.E. Mr. Francisco de Assis Morais e Cunha Vaz Patto) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปรตุเกสประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับโปรตุเกสที่แน่นแฟ้นยาวนานกว่า 500 ปี โดยมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เข้มแข็ง นายกรัฐมนตรีขอบคุณเอกอัครราชทูตฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ดำรงตำแหน่ง พร้อมเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และพัฒนาต่อเนื่องไปจากนี้

เอกอัครราชทูตฯ ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ทำให้ได้รับประสบการณ์และความทรงจำที่ดี ชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับโปรตุเกสที่มีมาอย่างยาวนาน ตลอดจนเห็นพ้องที่จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านวัฒนธรรม สาธารณสุข และเทคโนโลยีและนวัตกรรม นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยินดีที่รัฐบาลไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นที่ยอมรับ ซึ่งโปรตุเกสประสงค์จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังกล่าวกับไทยด้วย

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางความร่วมมือในช่วงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะในมิติด้านเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีโอกาสในการขยายความร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับโปรตุเกสเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากปี 2561 พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคเอกชนของโปรตุเกสขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของไทย ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล และ MSMEs ซึ่ง เอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นอีกภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ จึงควรหารือร่วมกันเพื่อเพิ่มพูนโอกาสและความร่วมมือในประเด็นนี้ต่อไป

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ