Power of The Act: สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR เพื่อ AI ในยุคการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน

ข่าวทั่วไป Wednesday August 27, 2025 17:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

Power of The Act: สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR เพื่อ AI ในยุคการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ลงทุนแมนได้เผยแพร่บทความชื่อ "SMR โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว ตั๋วใบสุดท้ายของไทย ในขบวนรถไฟที่ชื่อ AI" โดยมีข้อความที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า "รถไฟที่ชื่อว่า AI มีที่นั่งให้กับประเทศต่าง ๆ มากมาย แต่ทั้งหมดนี้ ขบวนรถไฟนี้จะวิ่งไปได้ไม่ไกลเลยถ้าไม่มีเชื้อเพลิงสำคัญที่มาจากพลังงานไฟฟ้า... พลังงานไฟฟ้า เป็นเชื้อเพลิงที่ป้อนให้กับ Data Center ที่ทำตัวเป็นทั้งครูคอยสอน AI ให้เก่งขึ้น พร้อมกับทำหน้าที่เก็บข้อมูลต่าง ๆ ให้อยู่บนโลกออนไลน์"

เมื่ออ่านบทความดังกล่าวแล้วทำให้ผู้เขียนเข้าใจว่าหากไม่มีไฟฟ้าที่มั่นคง เพียงพอ ต่อเนื่อง มาป้อนให้กับ Data Center ที่มี AI ร่วมอยู่บนรถไฟขบวนนั้นแล้ว AI ก็จะขาดคุณครูที่มีพลังและฉลาดที่มาสอนให้ AI เก่งและฉลาดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันครูเก่ง ๆ ก็จะคำนึงถึง "ความยั่งยืน" ในการมาสอน AI ด้วย ครูเก่ง ๆ อย่าง Amazon และ Microsoft จะไม่สอนด้วยรถไฟที่เป็นยานพาหนะที่มีเครื่องมือที่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรืออย่างน้อยจะต้องก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด หมายความว่าไฟฟ้าที่ Data Center เหล่านี้จะใช้ต้องทั้ง "เพียงพอ ต่อเนื่อง และยั่งยืน" จะขาดองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ คำถามคือ ระบบพลังงานของประเทศไทยเปิดโอกาสให้มีไฟฟ้าแบบนี้คอยป้อนให้กับ "คุณครูเก่ง ๆ" เหล่านี้หรือไม่ บทความนี้ จะชวนผู้อ่านวิเคราะห์ฉากทัศน์และความเป็นไปได้ที่ Data Center จะ "ซื้อ" และ "รับมอบหน่วยไฟฟ้า" ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor หรือ "SMR") ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ Enhanced Single Buyer (ESB) และระบบการกำกับกิจการพลังงานตามกฎหมายในปัจจุบัน

*Data Center จะเลือกไฟฟ้าจาก SMR ได้หรือไม่?

หากเราตั้งหลักจากตัว Data Center ในฐานะ "ผู้ใช้ไฟฟ้า" ที่ต้องการไฟฟ้าสะอาดแล้ว สามารถเริ่มต้นได้จากการที่ตัว Data Center ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากทรัพยากรพลังงานหมุนเวียน ณ สถานที่ตั้งของ Data Center นั้นเอง เช่น การรับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ในที่ดินของตัวเอง หรือซื้อไฟฟ้าโดยตรงจากผู้ผลิตที่ติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในที่ดินของ Data Center ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าเป็นโครงการในฐานะ "IPS" หรือ Independent Power Supply ซึ่งเป็นโครงการที่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองโดยไม่ขายเข้าระบบของการไฟฟ้าหรือจำหน่ายไฟฟ้าให้ลูกค้าโดยตรง

การซื้อขายไฟฟ้าภายใต้รูปแบบ IPS ในลักษณะนี้ ผู้ผลิตไม่ต้องรอรอบการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าเพื่อจ่ายเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แต่จะทำการซื้อขายโดยผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Onsite Private PPA โดยที่การไฟฟ้าทั้งสามหน่วยงาน (กฟผ. กฟน. และ กฟภ.) จะไม่ได้เป็นผู้รับซื้อ หากแต่เป็นสัญญาซื้อขายโดยตรงระหว่างเอกชน จะเห็นได้ว่าหน่วยไฟฟ้าที่ Data Center ใช้ในกรณีนี้ คือหน่วยไฟฟ้าสะอาดที่ผลิต ณ ที่ตั้งของ Data Center นั่นเอง จะไม่ปะปนกับหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้จากผู้ผลิตไฟฟ้าอื่นในระบบโครงข่ายไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม หากไฟฟ้าสะอาดที่ผลิต ณ ที่ตั้งของ Data Center มีปริมาณไม่เพียงพอ (เปรียบเสมือนว่าคุณครูจะมาสอน AI ไม่ได้หรือจะเกิดข้อขัดข้องบางประการ) แต่ตัว Data Center ที่มี AI อยู่บนขบวนนี้คงจะหยุดให้บริการไม่ได้ และจำเป็นต้อง "ใช้ไฟฟ้าสะอาดเพิ่ม" คำถามคือ จะใช้ไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ยังเรียกได้ว่าเป็นไฟฟ้าสะอาดได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ "อุปสงค์ไฟฟ้าสะอาดเหล่านี้" สามารถได้รับการตอบสนองโดยผู้ผลิตไฟฟ้าจาก SMR ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปจาก Data Center กล่าวคือโรงไฟฟ้า SMR หากไม่ได้ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกันแล้วการซื้อขายไฟฟ้านี้ก็จะหลุดออกจาก IPS Model หรือไม่ และ SMR อาจต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าเพื่อส่งมอบไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว

*การซื้อและส่งมอบไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR ที่ตั้งอยู่ห่างออกไป

คณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรป (European Commission) อธิบายว่า SMR หมายถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุด 300 เมกะวัตต์ไฟฟ้า (MWe) และสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 7.2 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อวัน SMR เป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกเครื่องปฏิกรณ์ประเภทนี้ แต่เครื่องปฏิกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีน้ำ(Water-Cooled Technology) ที่ไม่ได้ใช้น้ำธรรมดา (Light Water H2O) มักถูกเรียกว่าเครื่องปฏิกรณ์แบบโมดูลาร์ขั้นสูง (AMR) เช่นกัน เครื่องปฏิกรณ์เหล่านี้ใช้ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน เพื่อสร้างความร้อนที่สามารถนำมาใช้โดยตรงหรือเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

คณะกรรมาธิการของสหภาพยุโรปยังได้อธิบายถึงข้อดีของโครงการผลิตไฟฟ้า SMR นั้นจะมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอน ทั้งนี้ การผสมผสานพลังงานที่ผลิตจากโครงการผลิตไฟฟ้า SMR ของสหภาพยุโรปสามารถทำให้แน่ใจได้ว่าระบบโครงข่ายไฟฟ้าจะมีความเสถียรในระบบที่มีสัดส่วน "พลังงานหมุนเวียน" เพิ่มสูงขึ้นและมีความต้องการไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง เนื่องจากโครงการผลิตไฟฟ้า SMR มีขนาดกำลังไฟฟ้า และความจุที่เล็กกว่า จึงต้องการพื้นที่และน้ำหล่อเย็นน้อยกว่า รวมถึงมีความยืดหยุ่นในการเลือกสถานที่ตั้งมากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่

โครงการผลิตไฟฟ้า SMR นั้นอาจมิได้ตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นสถานประกอบการของผู้ใช้ไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น การซื้อขายไฟฟ้าซึ่ง Google ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 50 MW ที่ผลิตจาก SMR ซึ่งไฟฟ้าจะ "ส่งมอบ" ให้กับ Data Center ของ Google ซึ่งตั้งอยู่ในมลรัฐเทนเนสซี (Montgomery County) และอลาบามา (Jackson County) โครงการดังกล่าวมี Kairos Power เป็นผู้พัฒนาโครงการซึ่งจะผลิตไฟฟ้าจาก SMR และจ่ายหน่วยไฟฟ้านี้เข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าของมลรัฐเทนเนสซี (Tennessee Valley Authority หรือ "TVA")

TVA จะทำหน้าที่เป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งใน PPA ในฐานะผู้จัดหาไฟฟ้าสะอาดให้ Google กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ TVA ยอมให้มีการจ่ายไฟฟ้าจากโครงการ SMR ซึ่งดำเนินการโดย Kairos Power และยอมให้ Google ใช้ไฟฟ้าจากระบบโครงข่ายของตน โดย Google ซึ่งได้จ่ายเงินเพื่อโครงการ SMR จะสามารถอ้างสิทธิการใช้ไฟฟ้าโดยอ้างอิงใบรับรองคุณลักษณะพลังงานสะอาด (Clean Energy Attributes) โดยไม่ต้องรับมอบอิเล็กตรอนไฟฟ้าที่ Kairos Power จ่ายเข้าระบบโครงข่าย ณ ต้นทาง (ซึ่งจะขอเรียกโครงการนี้ว่า "โครงการ Kairos-TVA-Google")

*การขออนุญาตก่อสร้างและใช้งานโรงไฟฟ้า SMR ในประเทศไทย

หากจะมีโครงการ Kairos-TVA-Google ในประเทศไทย ย่อมเกิดคำถามว่าโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและระบบการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานของประเทศไทยพร้อมรองรับการดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้า SMR ซึ่งจะใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อส่งมอบไฟฟ้า โดยให้เจ้าของระบบโครงข่ายไฟฟ้าทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาไฟฟ้าให้กับ Data Center โดย Data Center เหล่านี้จะอ้างอิงใบรับรองคุณลักษณะพลังงานสะอาด โดยรัฐสามารถสร้างความปลอดภัยในการตั้งโรงไฟฟ้า SMR ได้หรือไม่?

ผู้เขียนเคยเผยแพร่บทความใน Power of The Act ชื่อ "กฎหมายกับความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ SMR" เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 สรุปใจความได้ว่า พระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 ได้สร้างระบบใบอนุญาตเพื่อกำกับดูแลการตั้งสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ และเมื่อจะมีการใช้เตาปฏิกรณ์เพื่อผลิตไฟฟ้าก็จะต้องมีการทดสอบเดินเครื่อง ผู้ประกอบการก็จะต้องได้รับ "ใบอนุญาตดำเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์" กฎหมายบัญญัติให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบการทดสอบการเดินเครื่องพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 นั้นทำหน้าที่เป็นหลักประกันความปลอดภัยของการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ครอบคลุมไปจนถึงการทดสอบเดินเครื่อง และใช้งานเตาปฏิกรณ์เพื่อการผลิตไฟฟ้า

ในขณะเดียวกัน เมื่อผลลัพธ์ที่ได้คือ "ไฟฟ้า" ผู้รับใบอนุญาตประกอบการทางนิวเคลียร์เพื่อผลิตไฟฟ้าดังกล่าวก็จะมีสถานะเป็น "ผู้ผลิตไฟฟ้า" อีกด้วย ส่งผลให้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มีผลบังคับกับการก่อสร้างและใช้งานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย การก่อสร้างตัวโรงไฟฟ้า SMR นั้น หากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ SMR ถูกกำหนดสถานะเป็นโรงงานจำพวกที่ 3 แล้วก็จะส่งผลให้ กกพ. มีอำนาจออกใบอนุญาตการตั้งโรงไฟฟ้า SMR โดยต้องขอความเห็นจากปลัดกระทรวงหรือผู้ซึ่งปลัดกระทรวงมอบหมายตามความเหมาะสม

*สิทธิการเข้าสู่ตลาดและทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

เมื่อจะผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า SMR แบบ Kairos จะต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าจาก กกพ. ตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 เรียกได้ว่าเป็นการขอรับสิทธิในการเข้าสู่ตลาดไฟฟ้าของประเทศไทย ในการขอรับใบอนุญาตตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2551 กำหนดให้ ผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าจะต้องยื่นรายละเอียดเกี่ยวกับการผลิตและจะต้องนำส่งสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือสัญญาจะซื้อจะขายมาแสดงด้วย

หากจะดำเนินการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบของโครงการของ Kairos-TVA-Google ในประเทศไทยแล้ว ความเป็นไปได้คือ กกพ. จะต้องออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR โดยกำหนดให้มีการไฟฟ้า (กฟผ. กฟน. หรือ กฟภ.) เป็นผู้รับซื้อ และกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเอาไว้ด้วย ซึ่งก่อนที่ กกพ. จะออกประกาศนี้ได้ กพช. จะต้องมีมติให้การผลิตไฟฟ้าจาก SMR เพื่อใช้สำหรับ Data Center โดยมีอัตรารับซื้อไฟฟ้า แต่ก่อนที่ กพช. จะมีมติดังกล่าวได้นั้น ควรมีการเพิ่มเติมสัดส่วนไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ หรือ PDP เสียก่อน ซึ่งเคยปรากฏข่าวว่ากระทรวงพลังงานมีแนวคิดนี้ในการจัดทำแผน PDP ในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567

เมื่อมีการผลิตไฟฟ้าและจ่ายหน่วยไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR เข้าระบบโครงข่ายแล้ว ผู้ผลิตจะต้องดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งหลักฐานของการจ่ายหน่วยไฟฟ้าดังกล่าวเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้ากล่าวคือดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate หรือ "REC") ซึ่ง กฟผ. สามารถออกให้ได้ตาม I-REC Standard และจะต้องโอน REC เหล่านี้ให้การไฟฟ้าที่รับซื้อไฟฟ้า

ในขั้นการส่งมอบหน่วยไฟฟ้านั้น การไฟฟ้าที่เป็นเจ้าของระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่จ่ายหน่วยไฟฟ้าที่ Data Center ใช้จริงจะจ่ายหน่วยไฟฟ้ารองรับการทำงานของ Data Center โดยโอน REC ให้กับ Data Center ทำให้ Data Center เหล่านี้สามารถกล่าวได้ว่าตนใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR ได้โดยไม่ต้องใช้อิเล็กตรอนไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้า SMR ได้จ่ายเข้าระบบโครงข่าย

Data Center จะจ่ายค่าไฟฟ้าในราคาที่สะท้อนต้นทุนจากโรงไฟฟ้า SMR ให้การไฟฟ้าซึ่งเป็นเจ้าของระบบโครงข่ายไฟฟ้า ส่วนผู้ผลิตไฟฟ้าก็จะได้เงินค่าตอบแทนการผลิตและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบโครงข่ายไฟฟ้าจากการไฟฟ้าซึ่งรับซื้อไฟฟ้า

*ไฟฟ้าสะอาดขึ้นแต่ก็ยังก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อมีการสร้างความร้อนโดยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน ทำให้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้า SMR มีลักษณะเป็นไฟฟ้าที่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ ดังนั้น หากวัดที่ตัวโครงการผลิตและการทำงานของเตาปฏิกรณ์อาจเรียกได้ว่าไฟฟ้าที่ผลิตจาก SMR นั้นอาจไม่ได้ก่อหรือปล่อย CO2 น้อยกว่า ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้า SMR เหล่านี้จึงอาจเรียกได้ว่า "สะอาดกว่า" ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนอื่น การได้ REC มานั้นไม่ได้หมายความว่า Data Center จะอ้างได้ว่าตนไม่ได้ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเสียเลย

อย่างไรก็ตาม หากประเมินวัฏจักรชีวิตเพื่อวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Life-Cycle Assessment หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "LCA") คือการประเมินผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่ง รองศาสตราจารย์ ดร.วรประภา นาควัชระ (คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) อธิบายว่า เป็นการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ (Raw Material Sourcing) กระบวนการผลิต (Manufacturing) การใช้งาน (Use) ไปจนถึงการกำจัดซาก (Disposal) ว่าในแต่ละขั้นตอนของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ได้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง เช่น มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ มลพิษอื่น ๆ ออกมาเท่าไหร่ ในขั้นตอนไหน

เมื่อไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นจากโครงการผลิตไฟฟ้า SMR นั้นยังคงมีการสร้างความร้อนจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ มีการตั้งโรงงาน มีการใช้เตาปฏิกรณ์ มีระบบการหล่อเย็น หาก Data Center ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้า SMR ย่อมยังคง "หนีไม่พ้น" ว่าไฟฟ้าประเภทนี้ยังคงสร้างประเมินผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบ LCA เรียกได้ว่า ณ จุดของการผลิตที่โรงไฟฟ้านั้นไม่ได้มีการปล่อย CO2 ก็สามารถนำไปใช้ลด Scope 2 ของ Cooperated carbon footprint ได้ แต่ส่วนที่ปล่อยใน LCA ก็จะไปที่ Scope 3 ช่วยลด GHG ได้ แต่ก็ต้องนับว่ายังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ใน LCA

โดยสรุป ผู้เขียนเห็นว่าโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและระบบการกำกับดูแลการประกอบกิจการไฟฟ้าตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 นั้น "มีศักยภาพ" ที่จะถูกใช้เพื่อรองรับการเกิดขึ้นของโรงไฟฟ้า SMR ฝั่งนโยบาย เช่น กระทรวงพลังงาน กพช. ตลอดจนคณะรัฐมนตรี สามารถขับเคลื่อน SMR เพื่อ Data Center และเพื่อ AI โดยกำหนดสัดส่วนของ SMR ใน PDP เพื่อให้ กกพ. ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าประเภทนี้ได้ เมื่อนโยบายขยับแล้วการไฟฟ้าที่เป็นเจ้าของระบบโครงข่ายไฟฟ้าจะสามารถรับเอาหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้อย่างแน่นอนนี้มาบริหารจัดการเพื่อรักษาความมั่นคงเชื่อถือได้ของระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่จะเริ่มมีไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้ากล่าวคือ Data Center ก็จะสามารถเรียกได้ว่าให้การสนับสนุนทางการเงินกับผู้ผลิตไฟฟ้าโดยอ้อมผ่านการจ่ายเงินให้การไฟฟ้าโดยจะได้รับ REC มายืนยันการใช้ไฟฟ้าจาก SMR หากมีการดำเนินการในลักษณะนี้ได้ก็น่าจะเรียกได้ว่าระบบพลังงานของประเทศยังพอที่จะดึงครูเก่ง ๆ ให้ยังคงสอน AI ได้ต่อไป

ผศ.ดร.ปิติ เอี่ยมจำรูญลาภ ผู้อำนวยการหลักสูตร LL.M. (Business Law)

หลักสูตรนานาชาติ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ