เพจเฟซบุ๊ก ทีมโฆษกกองทัพบก ระบุว่า กองทัพบก ยืนยันเหตุระเบิดที่ห้วยตามาเรียวานนี้ (10 พ.ย.) เป็นการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ถือเป็นการละเมิดปฏิญญาร่วม และแสดงความเป็นปรปักษ์ อันส่งผลให้ข้อตกลงต้องยุติลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
โดย พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ถึงกรณีกำลังพลประสบเหตุเหยียบกับระเบิด บริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ว่า จากรายงานล่าสุด พบว่ามีกำลังพลได้รับบาดเจ็บรวม 4 นาย ได้แก่
1. จ่าสิบเอก เทอดศักดิ์ สมาพงษ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าขวาขาด

2. พลทหาร วชิระ พันธะนา มีอาการแน่นหน้าอกจากแรงอัด
3. พลทหาร อภิรักษ์ ศรีชมไชย ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณขา
4. พลทหาร อนุชา สุจารี มีอาการระคายเคืองตาจากฝุ่น หรือสารเคมีของระเบิด
โดยขณะนี้ ทหารทุกนายได้รับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลในพื้นที่แล้ว
พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังพลปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนบนเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นจุดที่ทหารกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง ก่อนจะถอนกำลังออกไปภายหลังเหตุปะทะที่ผ่านมา โดยหลังจากทหารกัมพูชาถอนกำลังออกไปแล้ว ฝ่ายไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. 68 พร้อมทั้งได้ดำเนินการเสริมความมั่นคงพื้นที่ ด้วยการกวาดล้างทุ่นระเบิด วางเครื่องกีดขวางลวดหนาม และลาดตระเวนเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 68 ตรวจพบว่าแนวลวดหนามที่วางไว้ ถูกลักลอบเข้ามารื้อถอน จากนั้นในวันที่ 10 พ.ย. 68 เวลาประมาณ 08.30 น. หน่วยในพื้นที่จึงได้จัดกำลังชุดลาดตระเวนร่วมกับชุดทหารช่าง เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณแนวลวดหนามที่ถูกรื้อถอน จนเกิดเหตุกำลังพลเหยียบทุ่นระเบิด มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 4 นายข้างต้น
หลังจากเกิดเหตุ เวลาประมาณ 15.50 น. หน่วยในพื้นที่ได้จัดกำลังร่วมกับชุดตรวจค้น นปท.3 ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บึงมะลู เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณจุดเกิดเหตุ โดยตรวจพบรายละเอียดดังนี้
1. หลุมระเบิดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 55 ซม. ลึก 18 ซม. จำนวน 1 หลุม
2. ชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 อยู่ภายในหลุมและพื้นที่ใกล้เคียง
3. ทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมจำนวน 3 ทุ่น โดยแต่ละทุ่นวางห่างจากหลุมระเบิดประมาณ 1 เมตร
จากหลักฐานที่ปรากฏ จึงสรุปได้ว่าทุ่นระเบิดดังกล่าว เป็นการลักลอบรื้อถอนลวดหนาม และเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย โดยมีเป้าหมายคือกำลังพลที่ลาดตระเวนเส้นทางอยู่เป็นประจำ การกระทำดังกล่าวแสดงถึงความไม่จริงใจในการลดความขัดแย้งของฝ่ายกัมพูชา และสะท้อนถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างกัน ซึ่งขัดต่อปฏิญญาร่วมที่ได้ลงนามไว้อย่างชัดเจน ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อท่าทีของฝ่ายไทย และข้อตกลงต่าง ๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง