นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธีเปิด "ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)" พร้อมมอบนโยบายด้านการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์มลพิษทางอากาศและการเสริมประสิทธิภาพระบบการแจ้งเตือนให้แก่ประชาชน โดยบูรณาการความร่วมมือร่วมกับหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา GISTDA กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ AIS เพื่อบูรณาการข้อมูลที่สำคัญในการใช้เฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์ PM 2.5 แก่ประชาชน

ศกพ. จะเป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการข้อมูลคุณภาพอากาศและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชนแบบ "Real-time" รวมถึงเป็นศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสารสถานการณ์ฝุ่นเพียงศูนย์เดียวของประเทศ ที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลอย่างเป็นทางการและเชื่อถือได้
โดยปัจจุบัน มีการยกระดับระบบการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองที่สำคัญผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่
1. ระบบแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือ "Cell Broadcast"
2. การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน และช่องทางออนไลน์ "Line Alert"
3. การส่งข้อความ SMS Alert ในพื้นที่เสี่ยง เชื่อมโยงข้อมูลกับแพลตฟอร์มเอกชน เพื่อให้การสื่อสารครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชน

สำหรับภารกิจหลักของศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ทำหน้าที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
1. เฝ้าระวังและคาดการณ์ โดยติดตามตรวจสอบสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด และคาดการณ์แนวโน้มปัญหามลพิษทางอากาศในอนาคตล่วงหน้า 7 วัน
2. แจ้งเตือนสถานการณ์คุณภาพอากาศ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพประชาชนอย่างรวดเร็วและชัดเจน
3. การสื่อสารสาธารณะ โดยเป็นศูนย์กลางในการสื่อสารข้อมูลด้านมลพิษทางอากาศไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสนับสนุนข้อมูล ส่งต่อข้อมูลให้กับศูนย์ปฏิบัติการที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาโดยตรง เพื่อให้การตัดสินใจและดำเนินการมีประสิทธิภาพ
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า จะเห็นว่าเดือนพ.ย. วันที่ฝุ่นมากลดลง 23% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
โดยหัวใจของศูนย์นี้มี 3 หน้าที่
1. ช่วยบอกประชาชนว่าปัจจุบันนี้สถานการณ์ต้องดูแลตัวเองอย่างไร
2. มีการพยากรณ์ในอนาคต 7 วัน
3. ระบุปัญหาได้ว่าเผาตรงไหนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปดูแลตรงไหน เช่น เผาป่า เผาอ้อย เผาฟางข้าวตรงไหน ดังนั้นการบูรณาการเป็นเรื่องสำคัญ สถานการณ์ฝุ่นก็น่าจะดีขึ้น ซึ่งก็มีตัวอย่างในหลายประเทศทั่วโลกได้ทำสำเร็จแล้ว เราสามารถเรียนรู้แล้วก็ทำร่วมกันได้
สำหรับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ปีนี้ หัวใจอยู่ที่สภาพอากาศ ของกทม. มี 3 ส่วน 1. สภาพอากาศที่ปิด 2. ฝุ่นจากรถยนต์ และ 3. ฝุ่นจากการเผาด้านนอก ในส่วนของรถยนต์ปีนี้น่าจะดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับมาตรฐานควันดำขึ้น ส่วนเรื่องการเผาจากด้านนอก คงต้องดูสถานการณ์ของเกษตรกรด้วย คือต้องช่วยเกษตรกร เราไม่ได้บอกว่าเกษตรกรเป็นต้นเหตุ แต่ต้องไปช่วยเขา เราคงทำงานเชิงรุกมากขึ้น เดือนหลัก ๆ จะเป็นเดือนม.ค. กับก.พ. ที่ต้องเข้มข้นมากขึ้น