นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการถอดบทเรียนและเตรียมความพร้อมรับมือมหาอุทกภัย ครั้งที่ 1/2568 ว่า ที่ประชุมฯ มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ 5 คณะ ประกอบด้วย
1.คณะอนุกรรมการเตรียมความพร้อมในการรับภัยจะดูเรื่องพยากรณ์อากาศ วิเคราะห์ว่าจะเกิดอุทกภัยขนาดไหน และจะมีระบบเตือนภัยอย่างไร โดยจะให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธาน
2.คณะอนุกรรมการป้องกันและลดผลกระทบดูแลเรื่องการอพยพ โรงพยาบาล ระบบสาธารณสุข และสาธารณูปโภคทั้งหลาย รวมถึงการสื่อสารที่ต้องไม่ให้ล่ม ไม่ใช่ว่ามีแต่ระบบไฟฟ้า แต่ต้องมีระบบไว้แบ็คอัพ โดยให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน
3.คณะอนุกรรมการในภาวะฉุกเฉิน ดูแลเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบภัย การขอความร่วมมือจากกองทัพและส่วนราชการทั้งหลาย ซึ่งต้องอาศัยคนที่มีทรัพยากร จึงจะขอให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทบ.) เป็นประธาน
4.คณะอนุกรรมการจัดการหลังเกิดภัย ดูแลการเยียวยา การจัดการขยะ ทำความสะอาด และดูแลสุขภาพจิต โดยจะให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน
5.ชุดประสานงาน โดยตนจะเป็นผู้ดูแลเอง จะดูเรื่องของเอไอและแพลตฟอร์มที่จะนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลปัญหาอื่น ๆ ของคณะอนุกรรมการทั้งหมด เพราะหากทุกคนต่างคิดค้นแอปพลิเคชันขึ้นมาประชาชนจะสับสนไม่รู้จะใช้อันไหน แต่หากมีแพลตฟอร์มกลางจะใช้ได้ที่เดียว
ในวันเสาร์ที่ 6 ธ.ค.นี้จะเชิญกรรมการ ถอดบทเรียนฯลงไปดูพื้นที่จริงว่าหากปีหน้าน้ำมาจะป้องกันอย่างไร และหวังว่าคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
และในวันที่ 8 ธ.ค. นี้ จะขอพบกับผู้ว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และขอประชุมกับเจ้าหน้าที่ สตง. ภาคใต้ เพื่อขอให้เข้าใจสสถานการณ์เฉพาะหน้า
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการอาจจะพิจารณาจัดทำคู่มือสำหรับประชาชน เพื่อให้คำแนะนำว่า หากเกิดสถานการณ์ระดับเบื้องต้น ระดับกลาง หรือระดับอพยพ ประชาชนต้องเตรียมตัวอย่างไร หรือจะต้องอพยพไปที่ไหน เช่นจะต้องเตรียมเสื้อชูชีพหรือของยังชีพที่อยู่ได้ 3 วัน รวมถึงต้องมีโซล่าเซลล์เพื่อสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ในบ้านด้วย
นอกจากนี้ จะต้องบูรณาการแก้ไขกฎหมาย เช่น กฎหมาย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) หรือกฎหมายป้องกันภัยพลเรือน เช่น รู้ว่าเหตุน่าจะเกิด แต่ประกาศไม่ได้ แบบนี้ก็ควรจะต้องแก้กฎหมาย หรือควรจะมีกฎหมายที่หากเกิดเหตุความจำเป็นในลักษณะแบบนี้ ก็ควรจะมีกฎหมายที่ยกเว้นระเบียบได้ เช่นในเรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดรายงานการทำงานทุก 2 สัปดาห์
นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ประสบภัยทั่วประเทศมีหลายแห่ง ลักษณะภัยอาจจะคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน แต่ในกรณีหาดใหญ่ถือเป็นภัยที่ผิดปกติ จึงต้องถอดบทเรียนไว้ใช้ในอนาคตเพราะหากเกิดภัยขึ้นอีกสามารถหยิบคู่มือมาทำตามได้
ด้านนายเสรี ศุภราทิตย์ คณะกรรมการถอดบทเรียนฯ กล่าวถึงกรณีที่มีคำถามว่าจะต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะคลอง ร.1 ก็ใช้มานานแล้วว่า ในอนุกรรมการทุกชุดที่ตั้งขึ้นมา ต้องไปตรวจสอบดูว่า ในแต่ละแผนมีกิจกรรมอะไรที่สำเร็จ หรือเป็นช่องว่าง เช่น ปัญหาเรื่องครอง ร.1 ก็อยู่ในอนุกรรมการชุดที่สอง ที่ต้องไปดูว่าสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานรับได้หรือไม่ ก็จะมีคำตอบอยู่ในนั้น
ขณะที่ นายแก้วสรร อติโพธิ คณะกรรมการถอดบทเรียนฯ กล่าวว่า กรณีของประเทศญี่ปุ่น เกิดอุบัติภัยในลักษณะนี้ ต้องมีการประเมินผลถอดบทเรียน และนำไปปรับปรุงทำให้บ้านเมืองมีความเจริญและเดินไปได้ อย่าไปมองเพียงว่ารัฐบาลหาเสียงหรือแก้ตัว เพราะหากใครเป็นรัฐบาลก็ต้องทำเรื่องนี้ ซึ่งญี่ปุ่นจะออกเป็นปกขาวทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสึนามิ โรงไฟฟ้าปรมาณู หรืออุทกภัยก็ต้องทำหมด ซึ่งงานนี้ตนยินดีจะช่วย และทุกคนก็พร้อมจะช่วย ขณะที่ประชาชนก็ต้องเตรียมตัวด้วย เช่น ประชาชนในอำเภอหาดใหญ่ ก็ต้องมีเสื้อชูชีพติดบ้าน
นายแก้วสรร กล่าวว่า หลังจากนี้ขอให้เลิกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของจำนวนผู้เสียชีวิต แต่ควรมาคิดว่าเราจะแก้ไขปัญหาได้ดีกว่านี้หรือไม่ เช่น การเตือนภัยล่วงหน้าก่อน 5 ชั่วโมงสามารถทำได้หรือไม่ เป็นเพราะข้อมูลไม่เพียงพอ หรือว่าฮาร์ดแวร์ไม่มีหรือไม่ หรือขาดการประสานงาน เราควรจะไปดูในเรื่องของเนื้องาน