ตร.จับ 6 เครือข่าย"บรรพต"หมื่นสถาบันผ่านโซเชียล พร้อมไล่ล่าผู้บงการ

ข่าวทั่วไป Monday February 2, 2015 12:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับความมั่นคงในเครือข่ายบรรพต สืบเนื่องจากในปัจจุบันได้มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ตในการกระทำความผิดกฎหมาย เป็นสื่อในการยุงยง ปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายและความเกลียดชังขึ้นในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการหมิ่นสถาบันฯ นายกรัฐมนตรีและรมว.ยุติธรรม มีบัญชาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปรามกระทำความผิดเกี่ยวกับออาชญากรรมทางเทคโนโลยี กรมสอบสวนคดีพิเศษ หน่วยงานด้านความมั่นคง ให้สืบสวนร่วมกันหาตัวผู้กระทำความผิดดังกล่าวมาลงโทษตามกฎหมาย

จากการติดตามและสืนสวนของหน่วยงานความมั่นคงและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าตั้งแต่ปี 54 จนถึงปัจจุบัน มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งมีพฤติการณ์บ่อนทำลาบสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเรียกว่าเครือข่ายบรรพต เป็นการรวบรวมบุคคลที่มีแนวคิดต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จัดตั้งเป็นเครือข่ายแบ่งหน้าที่ทำงานโดยการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวคิดไปสู่ประชาชนชาวไทยเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ดังกล่าว ขวบนการบรรพตมีระดับชั้นของการทำงานและการสั่งการเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นผู้นำ เป็นผู้ผลิตแนวคิดในรูปของสื่อซีดี คลิปเสียง และบทความ ระดับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งรับฟังและช่วยกันเผยแพร่แนวคิดตามเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น เฟสบุ๊ค ยูทูป และบล็อกเกอร์ ระดับแนวร่วม มีหน้าที่ให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน รวมทั้งเผยแพร่แนวคิดไปในวงกว้างส่งให้มีบุคคลที่หลงเชื่อจำนวนหนึ่ง

จากความร่วมมือ และได้ดำเนินการสืบสวนร่วมกันจนทราบว่ามีการร่วมกันกระทำความผิดเป็นเครือข่าย ดพื่อเป็นการหยุดยั้งพฤติการณ์ของเครือข่ายบรรพต ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติและสถาบันหลักของประเทศ จึงได้มีการขยายผลสืบสวนจนสามารถจับกุมดำเนินคดีบุคคลในเครือข่ายระดับผู้ปฏิบัติงานได้ จำนวน 6 คน ดังนี้

1.นายดำรงค์ ชาญสิทธิโชค นามสกุลเดิม ลิขิตชีวะ เจ้าของเฟสบุ๊ค"ดำ สำเหร่" หรือ "Dam Samray" เป็นผู้ดูแลระบบ (Admin) ของเพจ BANPOJ THAILAND CLIPS ซึ่งเป็นเพจสำคัญในลำดับต้นๆ ที่ใช้เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบัน

2.นางสาวศิวาพร ปัญญา เจ้าของเฟสบุ๊ค "Siwaporn Panya" มีพฤติการณ์ในการเผยแพร่ข้อความและภาพหมิ่สถาบันฯ มานาน มีการติดต่อกับกลุ่มผู้มีแนวคิดทางลบต่อสถาบันฯ จำนวนมาก โดยหนึ่งในนั้นคือ เจ้าของเฟสบุ๊คชือ่ Sam Parr (นางพงษ์ศักดิ์ ศรีบุญเพ็ง) ที่ได้ถูกจับกุมแล้วก่อนหน้านี้

3.นายเงินคูณ อุดมคุณากร เจ้าของเฟสบุ๊ค"เงินคูณ ชินวัตร"อายุ 43 ปี มีพฤติการณ์ร่วมเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มเครือข่ายในการเผยแพร่สื่อที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อหาเงินทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเครือข่าย

4.นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์ อายุ 45 ปี เจ้าของเฟสบุ๊ค "PRADIT SUKSOMBUL"มีพฤติการณ์เป็นบุคคลสำคัญในการเผยแพร่ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปต่างๆ ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบัน

5.นางอัญชัญ ปรีเลิศ เป็นข้าราชการกรมสรรพากร ตำแหน่งสรรพากรเขตบางพลัด เจ้าของเฟสบุ๊ค Patch PrachPrakary หรือ เพชร ประกาย เป็นผู้ดูแลด้านการเงินของเครือข่าย ทั้งที่ได้จากการขายสินค้าต่างๆ และรับการสนับสนุนมาจากบุคคลในเครือข่าย

6. นายธารา วานิชพงษ์พันธุ์ เจ้าของเว็บ okthai.com และอีกหลายแห่งซึ่งเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลในการหมิ่นสถาบัน มีพฤติการณ์ในลักษณะการหลอกลวงหาเงินกับบุคคลอื่นโดยนำผลิตภัณฑ์ในเครือข่าย โดยเฉพาะจากนางอัญชัญ ปรีเลิศ มาจำหน่ายต่ออีกทอดหนึ่ง สถานภาพอยู่ในระดับแนวร่วมที่แสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจของเครือข่าย แต่ถือว่าเป็นผู้ที่ช่วยเผยแพร่ข้อมูลมากที่สุดมากกว่าแนวร่วมคนอื่นๆ

ทั้งนี้ ในรายของนางอัญชัญ ปรีเลิศ และนายธารา วานิชพงษ์พันธุ์ ได้มีการนำตัวไปดำเนินคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในชั้นนี้ได้มีพยานหลักฐานทั้งจากข้อมูลการติดต่อสื่อสาร หรือ พยานหลักฐานสำคัญอื่นๆ ที่ชัดเจน ผู้ต้องหาจึงจำนนต่อหลักฐานให้การรับสารภาพ และจากการสืบสวนพบว่าบุคคลในกลุ่มเครือข่ายนี้ได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ แบ่งหน้าที่กันดำเนินการ มีการพบปะหรือประชุมลับกันอยู่เป็นระยะ และพยายามจะใช้ข้อมูลจริงเพียงบางส่วนมาผสมผสานกับข้อมูลเท็จ หรือใช้สถานการณ์ที่ผ่านไปแล้วที่ไม่อาจกลับไปย้อนดูได้ มาทำให้คนหลงเชื่อในทางที่ไม่ถูกต้อง

สำหรับผู้บงการที่ใช้ชื่อว่า บรรพต ทางการสืบสวนทราบว่ามีการหลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศและยังมีการผลิตสื่อที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ แล้วนำมาให้เครือข่ายเผยแพร่ สำหรับผู้ที่ให้การสนันสนุนกลุ่มเครือข่ายบรรพตนี้ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงิน หรือ อุดหนุนสินค้าต่างๆ ที่นำมาจำหน่ายขอให้งดการกระทำเพราะมิฉะนั้น อาจมีความผิดร่วมด้วย โดยบุคคลในกลุ่มเครือข่ายนี้บางส่วนได้หลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนเพื่อจับกุมผู้เกี่ยวข้องมาลงโทษตามกฎหมายตอ่ไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ