นอกจากนี้ เชื่อว่าเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์มีความเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดที่ท่าเรือสาทร เนื่องจากการตรวจสอบพบว่าลักษณะของรูปแบบระเบิดคล้ายกัน และอาจจะเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน แต่ดินระเบิดและการจุดชนวนระเบิดยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีความเชื่อมโยงกัน
"ขณะนี้ การสืบสวนสอบสวนมีความคืบหน้าไปมาก แต่อาจจะมีอุปสรรคในเรื่องของภาพวงจรปิดในที่เกิดเหตุ เนื่องจากกล้องไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ และมีกล้องหลายตัวที่ชำรุด ทำให้ภาพที่นำมาใช้ในการสืบสวนไม่ต่อเนื่องกัน โดยภาพสเกตซ์คนร้ายที่วางระเบิดบริเวณท่าเรือข้ามฟากสาทร ขณะนี้อยู่ในการดำเนินการของพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งทางตำรวจได้จำกัดวงของผู้ต้องสงสัยที่จะก่อเหตุให้แคบลงแล้ว แต่ยังไม่สามารถตัดประเด็นใดทิ้งได้" ผบ.ตร. ระบุ
สำหรับกรณีการสอบปากคำพยานซึ่งเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่รับผู้ต้องหา เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนไม่สามารถเปิดเผยได้
ด้านคนขับรถแท๊กซี่ ซึ่งรับผู้ต้องหาก่อเหตุวางระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา นำรถแท็กซี่คันดังกล่าวเข้าให้การในฐานะพยาน พร้อมให้เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบวัตถุพยาน หลังจากก่อนหน้านี้ได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจนคบาล 6 เพื่อให้ข้อมูลเป็นแนวทางการสืบสวนสอบสวนในคดีมาแล้วก่อนหน้านี้
"เมื่อช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ในวันเกิดเหตุ ตนได้รับผู้ต้องหาคนดังกล่าวจากย่านศาลาแดง เพื่อไปส่งยังที่หมายคือ สถานีรถไฟหัวลำโพง บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งชายคนดังกล่าว ได้พูดภาษาไทยในสำเนียงต่างชาติ และจากการพิจารณาของตนเองมั่นใจว่า ไม่ใช่คนไทยอย่างแน่นอน โดยในระหว่างการเดินทางผู้ต้องหาไม่ได้มีการคุยโทรศัพท์กับบุคคลอื่นแต่อย่างใด และไม่ได้สังเกตว่า ผู้ต้องหาได้นำกระเป๋าเป้ติดตัวมาด้วยหรือไม่ พร้อมยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีการพูดคุยใดๆทั้งสิ้นกับผู้ต้องหา"คนขับรถแท๊กซี่ กล่าว
ทั้งนี้ คนขับแท็กซี่ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากเกิดเหตุไม่ทราบเรื่องมาก่อนว่าภาพแท็กซี่ในกล้องวงจรปิดของเจ้าหน้าที่นั้นเป็นตนเอง เพิ่งจะทราบเรื่องเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังเจ้าหน้าที่ได้ประสานมายังพี่สาวของตน และเมื่อทราบเรื่องก็ได้เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ในทันที