(เพิ่มเติม) สธ.เผยปี 61 ไทยอยู่อันดับ 27 ของประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ ดีขึ้นจากปีก่อน 14 อันดับ

ข่าวทั่วไป Sunday September 23, 2018 13:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้จัดทำดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพ (health care efficiency index) เพื่อจัดอันดับประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ โดยคำนวณเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในประเทศล่าสุดปี พ.ศ.2561 พบว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลกจาก 56 ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ซึ่งอยู่ในอันดับ 41 หรืออันดับดีขึ้นมากถึง 14 อันดับ นับเป็นประเทศที่สามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมากที่สุดในดัชนีนี้

โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คนนั้น ลดลงอยู่ที่ 219 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,086 บาท และอายุเฉลี่ยของประชากรไทยในปีนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 75.1 ปี นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุด้วยว่าเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากอีกด้วย ทั้งนี้ หากจัดอันดับภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ตามหลังฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ไต้หวัน นิวซีแลนด์ และจีน

สำหรับประเทศที่มีดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพปัจจุบันที่ดีที่สุด 5 อันดับ คือ ฮ่องกง รองลงมาคือ สิงคโปร์ สเปน อิตาลี เกาหลีใต้ โดยฮ่องกงมีค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพต่อประชากร 1 คนที่ 2,222 ดอลลาร์ หรือประมาณ 7.19 หมื่นบาท และมีอายุคาดเฉลี่ยที่ 84.3 ปี

ด้าน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พึงพอใจการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของไทย จากข้อมูลพบว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพต่อคนลดลงถึง 40% คิดเป็น 219 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,086 บาท ขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 75.1 ปี จากเดิมที่ 74.6 เมื่อปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การจัดอันดับดังกล่าวพิจารณาจาก 1) ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ เช่น การรักษาพยาบาล การป้องกันโรค การวางแผนครอบครัว กิจกรรมด้านโภชนาการ การรักษาฉุกเฉิน เป็นต้น 2) อายุขัยโดยเฉลี่ยของประชากรในประเทศที่ไม่ต่ำกว่า 70 ปี 3) GDP ต่อหัวมากกว่า 5,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 162,000 บาทต่อปี และ 4) ประเทศที่มีประชากรไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน

พร้อมกันนี้ องค์การอนามัยโลกชื่นชม ประเทศไทยว่าเป็นต้นแบบและแหล่งเรียนรู้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเห็นว่าเป็นระบบที่ยั่งยืน เพราะสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง

โดยรัฐบาลยืนยันว่าจะยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2559 – 2568) ทั้งด้านการส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) การบริการสุขภาพ (Medical Service Hub) การศึกษา วิชาการ และงานวิจัย (Academic Hub) ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และการเป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีผู้ใช้บริการทางการแพทย์จำนวนมาก เพราะไทยมีจุดแข็งหลายประการ เช่น ค่ารักษาพยาบาลไม่สูงมาก การบริการดี มีจำนวนโรงพยาบาลมาตรฐานมาก และการสนับสนุนอย่างจริงจังของภาครัฐ เป็นต้น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้รับรายงานด้วยว่า Wall Street Journal ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับประเทศไทย โดยระบุว่าแม้ในช่วง 20 ปีก่อน ไทยจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น และเงินบาทไทย มีแนวโน้มสดใส รวมทั้งกำลังกลายเป็นประเทศที่มีสถานะเป็นผู้ให้ทุนมากกว่าที่จะขอรับทุนสนับสนุนจากต่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ