ดีปาจับมือ ADVANC นำร่องติดตั้งเซ็นเซอร์วัด PM2.5 ในพื้นที่อีอีซี 200 จุด

ข่าวทั่วไป Friday May 1, 2020 19:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เผยว่า สถาบันไอโอทีและนวัตกรรม (IoT and Innovation Institute) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับของดีป้า ร่วมมือกับ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ เอไอเอส ต่อยอดการเดินหน้าหาพันธมิตรร่วมพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ตามนโยบายของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลและสังคม (ดีอีเอส) เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ดีป้าได้เล็งเห็นในความสำคัญของการเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพจึงได้จับมือเอไอเอสยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วยไอโอที โดยติดตั้งเซ็นเซอร์วัดค่าความชื้น อุณหภูมิ และ ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จำนวน 200 จุด พร้อมกับพัฒนาแอพพลิเคชั่น depa PM2.5 เพื่อใช้ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศ โดยนำร่องในพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหามลพิษเป็นอย่างมากเพราะมีโรงงานขนาดใหญ่ และระบบการขนส่ง ทั้งทางบกและทางน้ำเป็นจำนวนมาก

สำหรับ IoT (Internet of Things) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายจุดประสงค์ เช่น ในภาคการเกษตรไอโอทีก็สามารถนำมาปรับใช้วัดค่าความชื้นและอุณหภูมิในดินและสั่งการให้อุปกรณ์อื่นๆ ทำงานได้อย่างอัตโนมัติตามความเหมาะสมกับพืชผล สำหรับครั้งนี้ได้มีการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดค่าคุณภาพอากาศ พร้อมพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับรายงานค่าคุณภาพอากาศได้แบบเรียลไทม์ พร้อมการแจ้งเตือนสถาพอากาศพื้นที่ที่มีการเลือกติดตาม และแนะนำวิธีดูแลตัวเอง โดยมุ่งที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย IoT ในอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้ได้มีการวางแผนจะขยายระบบไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เริ่มจากพื้นที่พัฒนาเมืองอัจฉริยะ เช่น ภูเก็ต กระบี่ อุบลราชธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ และพิษณุโลก เป็นต้น ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองอัจฉริยะด้านสิ่งแวดล้อม

ด้าน นายวีรวัฒน์ เกียรติพงษ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสได้รับการส่งเสริมจากดีป้าในการพัฒนาระบบเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เซนเซอร์ และพัฒนาแอพพลิเคชัน โดยร่วมกับพันธมิตรด้าน IoT พัฒนาชุดอุปกรณ์ตรวจวัดสภาพแวดล้อม ซึ่งภายในประกอบด้วยเซนเชอร์วัดค่าความชื้น อุณหภูมิ และ ค่าฝุ่น PM2.5 โดยข้อมูลต่างๆ ที่วัดได้จะถูกส่งข้อมูลกลับไปยัง Magellan (IoT Platform ของเอไอเอส) ผ่านเครือข่าย NB-IoT ซึ่งเป็นระบบส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สาย ใช้พลังงานต่ำ แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้ถึง 10 ปี และมีสัญญาทะลุทะลวงสูง มีพื้นให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ โดยการทำงานเซนเซอร์จะทำการตรวจวัดค่าทุกๆ 5 นาที และจะส่งข้อมูลไปยัง Magellan เพื่อประมวลผลข้อมูล และแสดงผลเป็นค่าความชื้นในอากาศ อุณหภูมิ และค่าฝุ่น PM2.5 รายงานผลพื้นที่ถึงในระดับตำบล กระจายพื้นที่ 3 จังหวัดอีอีซี นอกจากนี้ยังได้พัฒนาเป็น Dashboard แสดงผลสรุปรายดือนในรูปแบบของ Web Based เพื่อให้ผู้บริหารเมือง หรือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาเมืองได้สามารถนำมาเป็นข้อมูลเพื่อนำไปสู่การวางแผนพัฒนาเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น นอกจากการให้บริการข้อมูลในแบบเรียลไทม์แล้ว เอไอเอสมีแผนบูรณาการข้อมูลร่วมกับเครือข่ายนักวิจัย โดยจะร่วมวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่(Big Data) ให้สามารถวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์สภาพอากาศล่วงหน้า สำหรับการบริหารจัดการทรัพยากร และการดูแลประชาชนในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และส่งผลถึงชีวิต ซึ่งดีป้าก็ได้เดินหน้าเพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนผ่านวิกฤตไปให้ได้ แต่สำหรับปัญหาฝุ่นละอองประเทศไทยเราก็ยังต้องเผชิญทุกปี โดยเฉพาะฤดูที่มีความกดอากาศต่ำ ถึงจะไม่ส่งผลอย่างรวดเร็วแต่ก็เกิดการสะสมจนส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนได้ ลำพังมนุษย์เราเองคงตอนนี้ ถึงจะรณรงค์ด้านต่าง ๆ แต่ยังไม่สามารถที่จะกอบกู้ความสมบูรณ์ของชั้นบรรยากาศที่ดีกลับมาได้ทันที สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการหลีกเลี่ยงและป้องกัน ซึ่งการร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้ก็เป็นการพัฒนาเครื่องมือสำหรับประชาชนให้ได้คอยตรวจสอบคุณภาพอากาศที่ใกล้เคียงเวลาจริงมากที่สุด เพื่อเตรียมรับมือป้องกัน หลีกเลี่ยง พร้อมลดความเสี่ยงในการได้รับผลกระทบจากปัญหามลพิษในอากาศได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ