"บิ๊กโจ๊ก" ขานรับนโยบายนายกฯ ฟรีวีซ่ารับทัวร์จีน-ปราบมาเฟีย

ข่าวทั่วไป Sunday September 10, 2023 18:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.บ.ตร.) กล่าวภายหลังเข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ว่า นายกฯ ได้ให้แนวทางเรื่องการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาลที่จะให้ฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวจีน เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศ และลดการทุจริตคอร์รัปชัน โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จะต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว และสำรองข้อมูลให้หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะการปราบปรามสิ่งผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด

"เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศเป็นอย่างมาก เพราะวันนี้ขั้นตอนที่นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย ในฐานะที่เคยเป็นผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) มีขั้นตอนยากลำบากในการเดินทางเข้าประเทศ เรื่องการคอร์รัปชัน การเปิดให้มีฟรีวีซ่าจะทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ง่ายขึ้น ส่วนของ ตร.จะลงไปกำกับคือการเพิ่มมาตรการความปลอดภัยและความมั่นคงต่างๆ ตรงนี้เรามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

อีกเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้ย้ำและเป็นกังวลคือการปราบปรามมาเฟียและผู้มีอิทธิพล และให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเน้นแนวทางให้มีการปราบปรามให้ถึงที่สุด รวมถึงที่มีการฮั้วประมูลในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องคดีกำนันนกที่มีเงินเป็นพันล้านบาทภายในเวลาไม่กี่ปี และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตนจะลงไปกำกับดูแลเรื่องนี้โดยตรง เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น และตำรวจต้องไม่เป็นไม้ค้ำยันให้ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้สอบสวนให้ถึงที่สุด ส่วนจะมีการออกหมายเรียกตำรวจเพิ่มเติมอีก 6 คนหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน หากสอบสวนแล้วพบว่าเป็นผู้กระทำผิดก็จะดำเนินการอนุมัติขอหมายจับต่อศาล และออกหมายจับต่อไป ส่วนตำรวจสามนายที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้นำเซิร์ฟเวอร์ไปทิ้งน้ำนั้นได้มีการกู้เซิฟเวอร์แล้ว และจะใช้เวลา 3-4 วันในการกู้ข้อมูล

ส่วนทรัพย์สินของกำนันนกยังไม่มีคำสั่งอายัดเนื่องจากยังไม่เข้าข่ายความผิด ขณะนี้ได้เอกสารและข้อมูลส่วนใหญ่มารวบรวมไว้แล้ว โดยจะมีการสอบสวนเรื่องฮั้วประมูล หากพบว่ามีการหัวประมูลจริงก็จะเข้าความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งจะใช้มาตรการการยึดทรัพย์ได้

สำหรับตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น ในหลักของกฎหมายหากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การทำลายวัตถุพยานหลักฐาน ซึ่งในเหตุการณ์จะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเกิดเหตุแล้ววิ่งหนีจะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แน่นอน กลุ่มที่สองคือกลุ่มร่วมทำลายพยานหลักฐาน และพากำนันนกหนี ซึ่งกลุ่มแรกได้มีการออกหมายจับไปบางส่วนแล้ว และกลุ่มที่สามพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มนี้ ทั้งนี้ความชัดเจนเริ่มเห็นได้ชัดอย่างต่อเนื่อง

โดยตำรวจที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ส่วนใหญ่เป็นตำรวจภาค 7 และตำรวจกองบัญชาการสอบสวนกลาง (ตำรวจทางหลวง) ซึ่งคดีนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะพยานหลักฐานมีครบ เพียงแค่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและเส้นทางการเงิน คาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะสอบสวนเสร็จสมบูรณ์ ส่วนประเด็นหลักในคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วย แต่เป็นการขอตำแหน่งหน้าที่แล้วไม่ให้จึงสั่งยิง ตนจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ซึ่งกำนันนกยังคงให้การปฏิเสธ แต่ยังไงก็ไม่มีทางหลุดรอดจากคดีนี้ เพราะมีทั้งคำให้การยืนยันและพยานแวดล้อม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ