นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังเชื่อมั่นว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกัน เพราะต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันคือต้องการเห็นสันติภาพในพื้นที่ ซึ่งแนวทางของไทยที่ทำได้ในขณะนี้คือจะไม่ใช่วิธีการอื่นนอกจากการเจรจา แม้กัมพูชาจะออกมาประกาศพร้อมเปิดศึกทำสงครามกับไทย แต่ไทยคงจะไม่เลือกแนวทางนั้น
"ผมเชื่อว่าทั้งสองประเทศเข้าใจดีว่าการรบกันไม่มีใครชนะ จะเสียหายมาก กรอบการเจรจาตรงกัน เป้าหมายคือเพื่อสันติ ต้องใช้เวลาพูดคุยกัน แม้ตกลงกันไม่ได้ก็จะไม่ใช้วิธีอื่น ก็จะพูดคุยกันต่อไป" นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมมองว่า การออกมาให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชานั้น เป็นการแสดงบทบาททางการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องภายในของกัมพูชา โดยนายอภิสิทธิ์ ย้ำว่าจุดยืนของไทยคือไม่เห็นด้วยหากกัมพูชาจะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวโดยอิงจากแผนที่ของฝรั่งเศส สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องการเห็นในขณะนี้ คือ ความชัดเจนเรื่องของเขตแดน หรือการทำประโยชน์ร่วมกันภายในพื้นที่ทับซ้อน
ส่วนกรณีที่นายปองพล อดิเรกสาร อดีตประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกออกมาระบุว่ากัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารไปแล้วนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากกัมพูชาไม่ได้ชี้แจงเอกสาร และรัฐบาลไทยยังไม่เห็นหลักฐานต่างๆ ในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของกัมพูชา ซึ่งการท้วงติงของไทยเป็นการแสดงบทบาทที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในภายหลังได้ จึงทำให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการตัดสินเรื่องนี้ไปเดือนก.พ.53 ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และต่างพยายามจะแก้ไขปัญหากันอยู่แล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ไทยยังไม่ได้มีการเจรจากับกัมพูชาที่จะขอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน ซึ่งท้ายที่สุดจะขึ้นทะเบียนมรดกโลกร่วมกันหรือไม่ คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย ระหว่างไทย กัมพูชา และคณะกรรมการมรดกโลก