
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะนายเจิ่น แทงห์ เหมิน (H.E. Mr. Tran Thanh Man) ประธานสภาแห่งชาติเวียดนาม ในโอกาสการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระดับรัฐบาล
ซึ่งในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะได้หารือกับผู้นำเวียดนาม และร่วมประชุม Joint Cabinet Retreat (JCR) ในวันพรุ่งนี้ (16 พ.ค.) ซึ่งเป็นกลไกพิเศษที่เวียดนามมีเฉพาะกับไทย พร้อมประกาศยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership) เพื่อยกระดับความร่วมมืออย่างรอบด้าน และเป็นรูปธรรม รวมทั้งส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับประชาชน-ประชาชน ด้วย

ด้านความร่วมมือเชิงนิติบัญญัตินั้น นายกรัฐมนตรีและประธานสภาฯ เวียดนาม ต่างยินดีที่รัฐสภาทั้ง 2 ประเทศ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด และหวังว่าจะขยายความร่วมมือในการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย และเวียดนามอย่างต่อเนื่อง การใช้ประโยชน์จากกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาไทย-เวียดนามให้มากขึ้น และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านนิติบัญญัติ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประเทศและความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยนายกรัฐมนตรี ยังได้เชิญประธานสภาฯ เวียดนามเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายเวียดนามกว่า 1 แสนคน ถือเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์อย่างยั่งยืน
- หนุนแคมเปญส่งเสริมท่องเที่ยว อีสาน-เวียดนาม
โดยนายกรัฐมนตรี เสนอให้มีการจัดแคมเปญร่วมส่งเสริมธุรกิจและการท่องเที่ยว ระหว่างเวียดนามกับจังหวัดในภาคอีสานของไทย พร้อมมอบหมายให้เมืองคู่มิตรของทั้งสองประเทศกว่า 20 คู่เมือง ดำเนินกิจกรรมเชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่น (business matching) อย่างต่อเนื่อง และการเชื่อมโยงคมนาคม ทั้งทางบก และเส้นทางการบิน ซึ่งไทยยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวเวียดนามด้วย
นายกรัฐมนตรีและประธานสภาฯ เวียดนาม เชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ และประชาชนของทั้งสองประเทศ จะเป็นพลังสำคัญในการสนับสนุนความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ที่ยั่งยืนทั้งในระดับทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมแสดงความตั้งใจที่จะผลักดันความร่วมมือรัฐสภาของทั้งสองประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี และกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ในทุกมิติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป