นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้พิจารณาและมีมติส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้มีคำสั่งยุบพรรคภูมิใจไทย กรณีมีความเกี่ยวข้องกับคดีฮั้วเลือก สว.ในปี 2567 เนื่องจากกระบวนการได้มาซึ่ง สว. เป็นการได้อำนาจทางการเมืองไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ สว. ต้องมีความเป็นอิสระ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากกระบวนการคัดเลือกที่รอบคอบและโปร่งใส
"ที่ผมมายื่นวันนี้เพราะ 1.มีข้อมูลว่า สว. 138 คน และสำรองอีกประมาณ 40 คน เป็นคนของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมมั่นใจว่าในทางการสอบสวนไม่น่าจะมีปัญหาอะไร" นายณฐพร กล่าว
นายณฐพร กล่าวว่า โดยหลักแล้วการยื่นยุบพรรคต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการล้มล้างการปกครองก่อน แต่คดีนี้พยานหลักฐานเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ ซึ่งมีการตรวจสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ กกต.ว่า มีการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนว่า การได้มาซึ่ง สว.ไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย เป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่มิชอบและเป็นปฏิปักษ์
พร้อมเตือนว่า สว. ชุดนี้ไม่ควรให้ความเห็นชอบกรรมการองค์กรอิสระที่เข้ามาพิจารณาในวันที่ 30 พ.ค.68 โดยควรรอการพิจารณาของศาล หากตัดสินว่าไม่ผิดก็จะทำให้สง่างาม
นายณฐพร กล่าวถึงกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เตรียมฟ้องคนที่ทำให้พรรคเสียหายว่า การตรวจสอบโดยประชาชนเป็นสิ่งที่นักการเมืองต้องยอมรับ และควรใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องตัดสินความจริง
นายณฐพร กล่าวว่า ตนมีรายชื่อและรายละเอียดทั้งหมดว่าใครเป็นเจ๊ใหญ่ ใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ รับเงินมาอย่างไร และมีบรรดาหัวหน้าคนในจังหวัดต่าง ๆ เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทุกอย่างปรากฏอยู่ในสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอและ กกต. โดยข้อมูลเส้นทางการเงินดีเอสไอมีหมด เขาจึงตั้งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ส่วน กกต.ได้ตั้งข้อหาฮั้วเลือก สว.
"สิ่งที่ผมห่วงมากที่สุด ผมกลัวอยู่ 2 คน ที่จะทำให้กระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนไป คนหนึ่งเป็นพลเอก ส. และอีกคนหนึ่งเป็นนาย ส. ที่มีอำนาจที่จะสั่งการองค์กรอิสระได้ทุกองค์กรเลย โดยเข้ามามีบทบาททางการเมืองตั้งแต่หลังรัฐประหาร"นายณฐพร กล่าว