นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวถึงกรณีศาลสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ระงับการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ว่า นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ไปพูดคุยอยู่ที่บ้านพิษณุโลก ว่าเมื่อมีคำสั่งศาลสหรัฐฯ ดังกล่าวแล้ว ประเทศไทยจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อรองรับกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ แต่ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณ ทางรัฐบาลก็ยินดีรับฟังข้อเสนอการปรับเปลี่ยนงบประมาณที่เป็นประโยชน์จากทุกพรรคการเมือง
นายจุลพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้าน ต้องการให้รัฐบาลทบทวนการจัดทำงงบประมาณรายจ่ายปี 69 ให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ว่า การจัดทำงบประมาณประจำปี เป็นการทำงบแบบคาดการณ์ว่าใน 1 ปี งบประมาณจะมีโครงการใดบ้าง และจะจัดสรรงบประมาณอย่างไรให้เกิดความเหมาะสมที่สุด
ซึ่งยอมรับว่าอาจจะมีความเคลื่อนอยู่บ้าง ถือเป็นเรื่องปกติ และคณะรัฐมนตรีไม่สามารถดึงงบประมาณกลับไปพิจารณาปรับแก้ ก่อนส่งกลับมาที่สภาฯ ได้ เพราะจะทำให้กระบวนการพิจารณางบประมาณล่าช้าไม่ทันการ และไม่สามารถประกาศใช้งบประมาณได้ทัน 1 ต.ค.68 ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องผลักดันร่างงบประมาณฉบับนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภาฯ ตามปกติ
"ยกตัวอย่างง่าย ๆ ลองนึกสภาพว่า หากเกิดเหตุการณ์ Trade War จากประธานธบดีทรัมป์ ไปเกิดในช่วงปลายก.ย. แล้วงบประมาณที่ผ่านพิจารณาไปแล้ว ทุกอย่างต้องมาชะงัก ติดขัด เพื่อมาปรับแก้ มันไม่ใช่ เพราะนี้คือความฉลาด และถูกต้องของผู้ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับวิธีการงบประมาณที่ทำเอาไว้ นั่นคือ กระบวนการงบประมาณมีความยืดหยุ่น และมีขั้นตอนสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้" นายจุลพันธ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า เมื่องบประมาณผ่านหลักการในวาระ 1 แล้ว ก็สามารถไปปรับแก้งบประมาณในชั้นของกรรมาธิการได้ เพื่อทำให้งบประมาณมีเหมาะสม ตอบโจทย์กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
- ยันไม่ใกล้เคียง "รัฐล้มเหลว" จี้ฝ่ายค้านรับผิดชอบคำพูด
ส่วนที่ฝ่ายค้านอภิปรายว่า ประเทศไทยมีความสุ่มเสี่ยงที่อาจจะเป็น "รัฐล้มเหลว" (failed state) นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า ไทยไม่ได้มีความใกล้เคียงกับการเป็นรัฐล้มเหลว ซึ่งรัฐบาลยังควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างครบถ้วน ไม่มีสงครามการเมือง ไม่มีการบุกรุกพื้นที่ตามแนวชายแดน และเชื่อว่าฝ่ายค้านก็ทราบดีว่าไม่ใช่ และไม่มีความใกล้เคียงใด ๆ เป็นแค่เพียงโวหารทางการเมือง ดังนั้นจึงขอให้รับผิดชอบในคำพูด เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้น จะมีมุมมองเชิงลบจากภายนอกที่มองเข้าในสภาฯ
"ท่านไม่ชอบรัฐบาลได้ แต่อย่าใช้คำว่า รัฐล้มเหลว มันไม่ถูกต้อง และไม่ใกล้เคียง" นายจุลพันธ์ กล่าว
- จ่อชงโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 12 เข้าครม. วงเงิน 3-5 หมื่นลบ.
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชี้แจงประเด็นการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) โดยระบุว่า การค้ำประกันสินเชื่อมีความสำคัญ เพราะ SMEs ไทยยังมีความเสี่ยง เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้กับ SMEs ที่มีความเสี่ยง ส่งผลให้ SMEs ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้เท่าที่ควร ซึ่งบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ถือเป็นหน่วยงานโดยตรงที่ดูแลเรื่องการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ การอภิปรายของฝ่ายค้านยังมีข้อมูลที่คาดเคลื่อน จากที่ระบุว่า บสย.ไม่อนุมัติให้ SMEs นั้น ข้อเท็จจริงในปัจจุบัน รัฐบาลมีโครงการ PGS 11 หรือโครงการค้ำประกันสินเชื่อ (Portfolio Guarantee Scheme) ระยะที่ 11 วงเงิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งมี SMEs เข้าถึงสินเชื่อในโครงการนี้แล้ว 49,107 ราย และมี Micro SMEs อยู่ถึง 82% และ Non Micro SMEs อีก 18%
โดยโครงการ PGS 11 มีการอนุมัติการค้ำประกันแล้ว 36,400 ล้านบาท เข้าสู่ภาคบริการ ประมาณ 30% ซึ่งภาคบริการถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ เพราะฉะนั้น ที่ฝ่ายค้านระบุว่า SMEs ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ และเข้าไม่ถึงการค้ำประกัน จึงไม่เป็นความจริง
"โครงการ PGS 11 รัฐบาลใช้มาตรา 28 (ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ) วงเงิน 50,000 ล้านบาท ไม่ได้ผ่านงบประมาณแผ่นดิน ท่านจึงไม่เห็นอยู่ในงบประมาณนี้ ถ้าวงเงินนี้หมด ผมกำลังทำเรื่องเข้า ครม.ต่อ เป็น PGS 12 เพิ่มเติมอีก 30,000-50,000 ล้านบาททันที และต่อเนื่อง เพื่อพี่น้อง SMEs ของเรา" นายเผ่าภูมิ กล่าว
พร้อมชี้แจงกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญงบประมาณที่นำไปใช้หนี้ตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ว่า ตัวเลขในมาตรา 28 ไม่สามารถเปิดเผย เพราะเป็นเอกสารลับ แต่ยืนยันว่าในปัจจุบันยังมีเหลืออยู่อีกมาก
"เราเป็นรัฐบาลที่ใช้ มาตรา 28 น้อย เราเหลือช่องว่างตรงนี้เยอะ เพราะฉะนั้น จะจัดสรรงบประมาณที่ชาญฉลาด ไปสู่ส่วนที่สำคัญกว่าเสมอ" นายเผ่าภูมิ กล่าว