นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) โดยย้ำว่า มาตรการการยกระดับการควบคุมการผ่านแดนไม่ใช่การปิดด่าน ตามที่มีรายงานข่าวที่คลาดเคลื่อน ในขณะนี้ทุกจุดผ่านแดนยังคงเปิดทำการไม่ว่าจะเป็นจุดผ่านแดนถาวร หรือจุดผ่านแดนชั่วคราว หรือจุดผ่อนปรนทางการค้า แต่มีการจำกัดการเข้าที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคงเป็นการบังคับใช้มาตรการขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จากทั้งหมด 4 ขั้นตอน ฝ่ายไทยยังคงอนุญาตให้กับบุคคลที่มีความจำเป็น และด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม เช่น ผู้ที่ต้องการรับการรักษาพยาบาล และนักเรียน รวมถึงการดำเนินการที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน เช่น การซื้อผัก ผลไม้และเครื่องอุปโภคบริโภคในครัวเรือน
นายนิกรเดช ยืนยันว่า รัฐบาลไทยยังไม่มีนโยบายห้ามการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสัญญาณอินเทอร์เน็ตไปยังกัมพูชา ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเองเป็นฝ่ายที่ตัดสินใจระงับการนำเข้าน้ำมันจากไทย สำหรับฝ่ายไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนไม่ต้องการดึงประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชามาเป็นผู้รับภาระจากปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐ ส่วนประกาศการยกระดับมาตรการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การระงับการส่งออกไฟฟ้าน้ำมันและสินค้า ที่อาจถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายต่างๆ
พร้อมย้ำว่า มาตรการล่าสุดของฝ่ายไทย เป็นมาตรการที่ดำเนินควบคู่ไปกับการดำเนินการของศบ.ทก.ที่มีจุดมุ่งหมายโดยตรงต่อธุรกิจเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเป็นหลัก ไม่ได้มีเป้าหมายไปยังประชาชนทั่วไป แต่เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของประชาชนในบริเวณชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ
ขณะที่การแสดงความคิดเห็นเชิงลบในบัญชี โซเชียลมีเดียของทางกัมพูชา การแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่พึงจะกระทำได้ แต่ขอความร่วมมือของประชาชนชาวไทยไม่แสดงความเห็นที่เป็นการยั่วยุหรือรุนแรง สุดโต่ง เพื่อไม่สร้างความตึงเครียดเพิ่มเติมให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โจมตีซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี ซึ่งการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ของประชาชนในช่องทางต่าง ๆ จะช่วยส่งเสริมบรรยากาศที่เอื้อการหาทางออกร่วมกันของทั้งสองฝ่าย
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพไทย และรองโฆษกกองทัพไทย กล่าวในประเด็นด้านความมั่นคงว่า การดำเนินการของกองทัพโดยในคำสั่งของกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เป็นไปในแนวทางเดียวกันตามข้อสั่งการของรัฐบาลที่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ โดยยังอนุญาตให้ผ่านเข้าออกแก่บุคคลที่มีความจำเป็นเช่น การส่งต่อผู้ป่วย และด้านการศึกษาของนักเรียน และการดำเนินการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ในการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน โดยอาศัยตามหลักมนุษยธรรม
ขณะเดียวกันยังมีการหารือถึงการเยียวยาของผู้ที่ได้รับผลกระทบตามแนวพื้นที่ชายแดนรัฐบาลจะใช้กลไกที่มีอยู่แล้วเช่น กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์สั่งการชายแดนจังหวัดจะประชุมร่วมกับหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และภาคเอกชนในพื้นที่เพื่อกำหนดแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้มีข้อจำกัดให้แรงงานจังหวัดช่วยเหลือ จัดหางานทดแทน สำหรับประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางข้ามแดนได้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดช่วยเหลือประชาเกษตรกรและการหาช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรในพื้นที่